เช็กด่วน! เพราะนี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบประกันสังคมในรอบหลายปี และจะกระทบทั้งลูกจ้าง–นายจ้างโดยตรง เริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป หากประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อย
ภาพรวมของเรื่องนี้เกิดจาก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงปรับ “เพดานค่าจ้างสูงสุด” ที่ใช้คำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพยุคปัจจุบัน รวมถึงเพิ่มระดับสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนในหลายด้าน
การปรับจะทยอยเป็น 3 ระยะ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบหนักเกินไปทั้งฝั่งพนักงานและนายจ้าง
ระยะที่ 1 (ปี 2569–2571)
- เพดานค่าจ้างสูงสุด 17,500 บาท
- เงินสมทบสูงสุด 875 บาท/เดือน
ระยะที่ 2 (ปี 2572–2574)
- เพดานค่าจ้างสูงสุด 20,000 บาท
- เงินสมทบสูงสุด 1,000 บาท/เดือน
ระยะที่ 3 (เริ่มปี 2575 เป็นต้นไป)
- เพดานค่าจ้างสูงสุด 23,000 บาท
- เงินสมทบสูงสุด 1,150 บาท/เดือน
ทำไมต้องปรับ?
เพราะเพดานเดิมใช้มานานจนไม่สะท้อนรายได้ของแรงงานในยุคปัจจุบัน การปรับครั้งนี้ช่วยเพิ่มความคุ้มครองในกรณีต่างๆ เช่น สิทธิทำฟัน เจ็บป่วย ว่างงาน ทุพพลภาพ คลอดบุตร ตลอดจนบำนาญชราภาพ รวมถึงเงินสงเคราะห์ต่างๆ มีตัวเลขเพิ่มขึ้นตามเพดานใหม่
สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นจากระยะที่ 1 เช่น
- เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย สูงสุด 7,500 → 8,750 บาท
- เงินทดแทนกรณีว่างงาน สูงสุด 7,500 → 8,750 บาท
- เงินทดแทนทุพพลภาพ สูงสุด 7,500 → 8,750 บาท
- คลอดบุตร 22,500 → 26,250 บาท
- เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 90,000 → 105,000 บาท
- บำนาญชราภาพ (ส่งครบ 15 ปี) 3,000 → 3,500 บาท
- บำนาญชราภาพ (ส่งครบ 25 ปี) 5,250 → 6,125 บาท
ทั้งหมดนี้ถือเป็นการ “ขยับใหญ่” ของระบบประกันสังคมในรอบหลายปีและยังเป็นการวางโครงสร้างระยะยาวเพื่อให้กองทุนรองรับภาระในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
ขั้นตอนถัดไปคือ กระทรวงแรงงานต้องลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
เรื่องนี้ HR ทุกแห่งควรจับตา เพราะจะกระทบตั้งแต่ระบบเงินเดือน, ภาระสมทบ, การคำนวณสิทธิพนักงาน ไปจนถึงงบประมาณด้านบุคลากรในปีหน้า ทั้งหมดต้องสอดคล้องกับเพดานใหม่แบบไม่มีพลาดครับ
