ในช่วงเวลาที่ค่าครองชีพพุ่งสูงและค่ารักษาพยาบาลยังคงเป็นภาระที่หนักหนาสำหรับประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน ลูกจ้าง และผู้ประกันตน ข่าวดีล่าสุดจากสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการปฏิรูปด้านสิทธิประโยชน์ทางสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของ “สิทธิทันตกรรม” ซึ่งหลายคนต่างเฝ้ารอการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากขึ้น
ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกถึงรายละเอียดของนโยบายใหม่นี้ ความหมายของการแยกค่าผ่าฟันคุดออกจากสิทธิทันตกรรมหลัก ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกันตน ตลอดจนข้อควรระวังและข้อเสนอแนะในการใช้สิทธินี้อย่างคุ้มค่า
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิทธิในการรักษาทางทันตกรรมของผู้ประกันตนภายใต้ประกันสังคมมีการกำหนดเพดานค่ารักษาอยู่ที่ 900 บาทต่อปี ซึ่งรวมทุกกรณี ตั้งแต่ อุดฟัน, ขูดหินปูน, ถอนฟัน ไปจนถึง ผ่าฟันคุด
แม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่ดูเหมือน “มีอะไรให้เบิกได้บ้าง” แต่ในความเป็นจริง กลับกลายเป็นว่าหากต้อง “ผ่าฟันคุด” ซึ่งเป็นหัตถการเฉพาะทางและมีราคาค่อนข้างสูง มักทำให้วงเงิน 900 บาทนั้นหมดไปในทันที ทำให้ผู้ประกันตนไม่สามารถใช้สิทธินี้กับการรักษาอื่น ๆ ได้อีกในปีเดียวกัน
เสียงสะท้อนจากทั้งผู้ใช้บริการและบุคลากรด้านทันตกรรม จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้คณะกรรมการการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม พิจารณาแนวทางใหม่ที่ตอบโจทย์มากขึ้น
สิ่งที่เปลี่ยนแปลง แยกสิทธิ – เพิ่มวงเงิน – ครอบคลุมมากขึ้น
เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา คณะกรรมการการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม (บอร์ดแพทย์ สปส.) ได้จัดประชุมและมีมติ “เห็นชอบ” เรื่องการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ด้านทันตกรรม โดยมีสาระสำคัญ 3 ประเด็นหลัก ดังนี้
1. แยกค่าผ่าฟันคุด ออกจากสิทธิค่าทำฟันเดิม
- จากเดิม: ค่าผ่าฟันคุดรวมอยู่ในวงเงิน 900 บาทต่อปี
- ใหม่: แยกค่าผ่าฟันคุดออกเป็นสิทธิเฉพาะ จ่ายตามประเภทของการผ่า
- ผ่าฟันคุดแบบง่าย: เบิกได้ สูงสุด 1,500 บาท
- ผ่าฟันคุดแบบยาก (เช่น ผ่าซ้อนหรือผ่าผ่านกระดูก): เบิกได้ สูงสุด 2,500 บาท
2. ปรับสิทธิค่ารักษาทันตกรรม จาก 900 บาท เป็น “จ่ายตามจริง”
- สำหรับบริการเช่น อุดฟัน, ขูดหินปูน, ถอนฟัน
- เงื่อนไขสำคัญ: ต้องใช้บริการจาก “โรงพยาบาลของรัฐ” เท่านั้น
- หากใช้บริการจาก “คลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชน” จะยังคงได้รับสิทธิเดิมคือ ไม่เกิน 900 บาทต่อปี
3. เพิ่มสิทธิในการตรวจสุขภาพช่องปาก
- หน่วยบริการต้องมีการจัดทำ “ข้อมูลสุขภาพช่องปาก” ของผู้ประกันตน
- เป้าหมาย: เพื่อลดการเบิกซ้ำซ้อน และสร้างฐานข้อมูลสุขภาพที่แม่นยำในระยะยาว
เหตุผลที่ต้องแยกผ่าฟันคุดออกจากสิทธิทันตกรรมเดิม
ใครที่เคย “ผ่าฟันคุด” คงรู้ซึ้งถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เบาเลย บางกรณีมีราคาตั้งแต่ 1,200 - 3,000 บาท ขึ้นไปตามความยากง่ายของหัตถการ
การรวมค่าผ่าฟันคุดไว้ในสิทธิ 900 บาท ทำให้เกิดปัญหา 2 ประเด็นหลัก
- สิทธิหมดเร็ว – ผู้ที่ผ่าฟันคุดครั้งเดียวแทบไม่มีวงเงินเหลือสำหรับการรักษาอื่น
- ความไม่เป็นธรรมทางการใช้สิทธิ – ผู้ที่ไม่ได้ผ่าฟันคุดจะสามารถใช้สิทธิได้หลายรายการ แต่ผู้ที่มีปัญหานี้กลับได้เพียงบริการเดียว
ดังนั้น การแยกสิทธิผ่าฟันคุดออกมา จึงเป็นการ “แก้ความเหลื่อมล้ำ” และเปิดโอกาสให้ทุกคนใช้สิทธิได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ผลกระทบเชิงบวกที่ผู้ประกันตนจะได้รับ
การปรับปรุงสิทธิในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่อง “ตัวเลข” แต่ยังมีนัยยะสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของแรงงานและลูกจ้างหลายล้านคน โดยมีผลดีหลายประการ เช่น
- ✅ ไม่ต้องกังวลใจเรื่องค่าใช้จ่ายล่วงหน้า เมื่อฟันมีปัญหา
- ✅ ดูแลช่องปากได้ครบวงจร มากกว่าการเลือกแค่หนึ่งบริการต่อปี
- ✅ จูงใจให้ตรวจสุขภาพฟันประจำปี ซึ่งช่วยลดโรคฟันในระยะยาว
- ✅ เป็นธรรมต่อทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะมีปัญหาฟันคุดหรือไม่
ข้อควรรู้ก่อนใช้สิทธิใหม่
แม้ข่าวนี้จะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ก็ยังมีรายละเอียดที่ผู้ประกันตนควรรู้เพื่อใช้สิทธิอย่างคุ้มค่า
1.ยังไม่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
- มติที่ประชุมแพทย์ สปส. ต้องเสนอให้ “คณะกรรมการประกันสังคม” พิจารณาอีกครั้ง
- คาดว่าจะประกาศใช้จริงภายในเดือน สิงหาคม 2568
2.ต้องตรวจสอบสถานพยาบาล
- หากต้องการ “จ่ายตามจริง” ต้องเข้ารับบริการจาก โรงพยาบาลของรัฐ
- หากใช้เอกชน จะยังคงได้รับสิทธิเดิมคือ ไม่เกิน 900 บาท/ปี เท่านั้น
3.ต้องแสดงตัวเป็นผู้ประกันตนอย่างถูกต้อง
- นำบัตรประชาชนหรือหลักฐานแสดงตัวตนในระบบ
ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตา ประกันสังคมยุคใหม่ ต้องตอบโจทย์จริง
การเปลี่ยนแปลงสิทธิด้านทันตกรรมในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของสำนักงานประกันสังคมในการปรับปรุงระบบให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน
ที่ผ่านมาประชาชนมีคำถามมากมาย เช่น
- “ทำไมประกันสังคมยังเบิกค่าฟันได้แค่ 900?”
- “ค่าผ่าฟันคุดแพงขนาดนี้ ทำไมต้องควักจ่ายเอง?”
สรุป
หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง มติที่ประชุมคณะกรรมการการแพทย์จะถูกเสนอเข้าสู่ “บอร์ดประกันสังคม” ในเร็ว ๆ นี้ และหากผ่านความเห็นชอบ คาดว่า “สิทธิใหม่” จะเริ่มมีผลใช้ภายใน เดือนสิงหาคม 2568
สำหรับผู้ประกันตนทุกคน การรู้สิทธิ – ใช้สิทธิ – และวางแผนใช้สิทธิให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือสิ่งที่ควรทำทันที
หากคุณรู้ตัวว่ามีปัญหาฟันคุด ฟันโยก หรืออยากขูดหินปูน ลองวางแผนการใช้บริการในช่วงครึ่งปีหลังให้ดี เพราะประกันสังคมกำลังทำให้สุขภาพฟันของคุณ “ยิ้มได้อย่างแท้จริง”