การสั่งงานและการมอบหมายงาน ไม่เพียงแค่เป็นกระบวนการทางธุรกิจที่เรียบง่ายเท่านั้น แต่เป็นศิลปะที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของทีมและองค์กรอย่างมาก การที่ผู้นำสามารถแสดงความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในการสร้างและบริหารจัดการการสั่งงานและการมอบหมายงานมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่สร้างสรรค์และที่มั่นคงสำหรับการทำงานของทีม HR-ODTHAI.COM ขอเสนอเทคนิคและแนวทางที่สามารถใช้ในการปรับปรุงและสร้างความประสบความสำเร็จในการสั่งงานและการมอบหมายงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การสั่งงาน Directing
การสั่งงาน (Directing) เป็นกระบวนการในการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดทิศทางและการควบคุมการดำเนินงานของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลภายในองค์กร เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการทำงาน โดยการสั่งงานรวมถึงการกำหนดเป้าหมาย การวางแผน การให้คำแนะนำ การสร้างความร่วมมือ และการให้กำลังใจในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายและผลลัพธ์ที่ต้องการในองค์กร
องค์ประกอบของการสั่งงาน
องค์ประกอบของการสั่งงาน ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1.ผู้สั่งการ ผู้บริหารหรือผู้นำที่มีอำนาจในการสั่งการ ผู้สั่งการที่ดีควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
- มีความรู้ความสามารถ: ผู้สั่งการต้องมีความรู้ความสามารถในงานที่สั่งการ
- มีทักษะการสื่อสาร: ผู้สั่งการต้องสามารถสื่อสารคำสั่งให้ผู้รับคำสั่งเข้าใจได้อย่างชัดเจน
- มีความเป็นผู้นำ: ผู้สั่งการต้องเป็นผู้นำที่สามารถจูงใจและกระตุ้นให้ผู้รับคำสั่งปฏิบัติงาน
- มีความยุติธรรม: ผู้สั่งการต้องมีความยุติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ
- มีความเด็ดขาด: ผู้สั่งการต้องมีความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ
2.ผู้รับคำสั่ง บุคลากรในองค์กรที่ได้รับคำสั่งจากผู้สั่งการ ผู้รับคำสั่งที่ดีควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
- มีความรับผิดชอบ: ผู้รับคำสั่งต้องมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย
- มีวินัย: ผู้รับคำสั่งต้องมีวินัย ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
- มีทัศนคติที่ดี: ผู้รับคำสั่งต้องมีทัศนคติที่ดีต่องานและองค์กร
- มีทักษะการทำงาน: ผู้รับคำสั่งต้องมีทักษะการทำงานที่จำเป็นสำหรับงานที่ได้รับมอบหมาย
- มีความคิดริเริ่ม: ผู้รับคำสั่งต้องมีความคิดริเริ่ม สามารถคิดหาวิธีการใหม่ๆ ในการทำงาน
3.คำสั่ง ข้อความหรือสัญญาณที่ผู้สั่งการใช้เพื่อสื่อสารกับผู้รับคำสั่ง คำสั่งที่ดีควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
- มีความชัดเจน: คำสั่งต้องชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่คลุมเครือ
- ความถูกต้อง: คำสั่งต้องถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง
- ความครบถ้วน: คำสั่งต้องครบถ้วน สมบูรณ์ ไม่มีรายละเอียดใดๆ ขาดตกหล่น
- ความเหมาะสม: คำสั่งต้องเหมาะสมกับสถานการณ์และความสามารถของผู้รับคำสั่ง
- ความเป็นไปได้: คำสั่งต้องเป็นไปได้ที่จะปฏิบัติได้จริง
- ความยุติธรรม: คำสั่งต้องเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ
- ความสม่ำเสมอ: คำสั่งต้องสม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ
ลักษณะของพฤติกรรมของผู้รับคำสั่ง
ลักษณะของพฤติกรรมผู้รับคำสั่งเมื่อเข้าใจและไม่เข้าใจ
เมื่อผู้รับคำสั่งเข้าใจคำสั่ง
- แสดงท่าทีรับรู้: ผู้รับคำสั่งจะแสดงท่าทีรับรู้ เช่น พยักหน้า ตอบรับ หรือจดบันทึก
- ถามคำถาม: ผู้รับคำสั่งอาจถามคำถามเพื่อขอความชี้แจงเพิ่มเติม
- แสดงความมั่นใจ: ผู้รับคำสั่งจะแสดงความมั่นใจว่าสามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้
- เริ่มดำเนินการ: ผู้รับคำสั่งจะเริ่มดำเนินการตามคำสั่งทันที
เมื่อผู้รับคำสั่งไม่เข้าใจคำสั่ง
- แสดงท่าทีสับสน: ผู้รับคำสั่งจะแสดงท่าทีสับสน เช่น ขมวดคิ้ว หรือกอดอก
- ไม่ตอบสนอง: ผู้รับคำสั่งอาจไม่ตอบสนองต่อคำสั่ง
- แสดงความกังวล: ผู้รับคำสั่งอาจแสดงความกังวลว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้
- ไม่เริ่มดำเนินการ: ผู้รับคำสั่งจะไม่เริ่มดำเนินการตามคำสั่ง
รูปแบบในการสั่งการ
การสั่งการเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้นำในการบริหารจัดการองค์กร รูปแบบของการสั่งการมีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สั่งการและผู้รับคำสั่ง และลักษณะงาน รูปแบบการสั่งการที่พบบ่อย มีดังนี้
1. การสั่งการแบบออกคำสั่ง (Directive)
- เป็นการสั่งการที่ผู้สั่งการกำหนดเป้าหมาย วิธีการ และขั้นตอนการทำงานให้ผู้รับคำสั่งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
- ผู้สั่งการมีอำนาจเหนือผู้รับคำสั่งสูง
- เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการความรวดเร็ว เด็ดขาด หรือต้องการควบคุมการทำงานอย่างใกล้ชิด
- ตัวอย่าง: หัวหน้าสั่งลูกน้องให้ไปประชุมด่วน
2. การสั่งการแบบขอร้อง (Request)
- เป็นการสั่งการที่ผู้สั่งการขอความร่วมมือจากผู้รับคำสั่ง โดยไม่ใช้คำสั่งที่เด็ดขาด
- ผู้สั่งการและผู้รับคำสั่งมีความสัมพันธ์ที่ดี
- เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี กระตุ้นให้ผู้รับคำสั่งมีส่วนร่วม หรือต้องการความคิดเห็นจากผู้รับคำสั่ง
- ตัวอย่าง: หัวหน้าขอให้ลูกน้องช่วยทำงานล่วงเวลา
3. การสั่งการแบบให้คำแนะนำ (Advice)
- เป็นการสั่งการที่ผู้สั่งการให้คำแนะนำหรือแนวทางแก่ผู้รับคำสั่ง โดยผู้รับคำสั่งมีอิสระที่จะตัดสินใจว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่
- ผู้สั่งการมีความรู้และประสบการณ์มากกว่าผู้รับคำสั่ง
- เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการพัฒนาทักษะการตัดสินใจของผู้รับคำสั่ง หรือต้องการให้ผู้รับคำสั่งคิดริเริ่ม
- ตัวอย่าง: หัวหน้าแนะนำลูกน้องให้ใช้วิธีการใหม่ในการทำงาน
4. การสั่งการแบบอาสาสมัคร (Volunteerism)
- เป็นการสั่งการที่ผู้สั่งการเปิดโอกาสให้ผู้รับคำสั่งอาสาสมัครที่จะทำงาน
- ผู้รับคำสั่งมีอิสระที่จะตัดสินใจว่าจะอาสาสมัครหรือไม่
- เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการสร้างแรงจูงใจ กระตุ้นให้ผู้รับคำสั่งมีส่วนร่วม หรือต้องการทักษะเฉพาะทาง
- ตัวอย่าง: หัวหน้าเปิดโอกาสให้ลูกน้องอาสาสมัครไปอบรมหลักสูตรใหม่
การเลือกใช้รูปแบบการสั่งการที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สั่งการและผู้รับคำสั่ง และลักษณะงาน ผู้สั่งการที่ดีควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ก่อนตัดสินใจเลือกใช้รูปแบบการสั่งการ
นอกจากรูปแบบการสั่งการที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีรูปแบบการสั่งการอื่นๆ อีก เช่น:
- การสั่งการแบบกำหนดเป้าหมาย (Goal Setting)
- การสั่งการแบบมอบหมายงาน (Delegation)
- การสั่งการแบบให้กำลังใจ (Encouragement)
- การสั่งการแบบสร้างแรงจูงใจ (Motivation)
การสั่งการที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี ผู้สั่งการที่ดีควรเลือกใช้รูปแบบการสั่งการที่เหมาะสม สื่อสารคำสั่งอย่างชัดเจน ติดตามผลการปฏิบัติงาน และให้รางวัลเมื่อผู้รับคำสั่งทำงานสำเร็จ
ข้อควรรระวังในการสั่งงาน
การสั่งการเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้นำในการบริหารจัดการองค์กร แต่การสั่งการที่ไม่ดีอาจส่งผลเสียต่อองค์กร ดังนั้น ผู้สั่งการควรระวังข้อผิดพลาด ดังต่อไปนี้
1. สั่งการโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์: ผู้สั่งการควรพิจารณาสถานการณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สั่งการและผู้รับคำสั่ง และลักษณะงานก่อนตัดสินใจเลือกใช้รูปแบบการสั่งการ การสั่งการที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์อาจทำให้ผู้รับคำสั่งสับสน ไม่เข้าใจ หรือไม่ยอมปฏิบัติตาม
2. สั่งการไม่ชัดเจน: ผู้สั่งการควรสื่อสารคำสั่งอย่างชัดเจน ตรงประเด็น ครบถ้วน ไม่คลุมเครือ หากผู้รับคำสั่งไม่เข้าใจคำสั่ง อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการทำงาน
3. สั่งการโดยไม่ฟังความคิดเห็น: ผู้สั่งการควรเปิดโอกาสให้ผู้รับคำสั่งเสนอแนะความคิดเห็น หากผู้รับคำสั่งมีข้อเสนอแนะที่ดี ผู้สั่งการควรพิจารณาปรับเปลี่ยนคำสั่งให้เหมาะสม
4. สั่งการโดยไม่ให้เหตุผล: ผู้สั่งการควรอธิบายเหตุผลของคำสั่งให้ผู้รับคำสั่งทราบ ผู้รับคำสั่งจะเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้สั่งการ และมีแรงจูงใจในการปฏิบัติตามคำสั่ง
5. สั่งการโดยไม่ติดตามผล: ผู้สั่งการควรติดตามผลการปฏิบัติงานของผู้รับคำสั่ง เพื่อประเมินว่าผู้รับคำสั่งบรรลุเป้าหมายของงานหรือไม่ หากไม่บรรลุเป้าหมาย ผู้สั่งการควรหาสาเหตุและแก้ไข
6. สั่งการโดยไม่ให้รางวัล: ผู้สั่งการควรให้รางวัลแก่ผู้รับคำสั่งเมื่อทำงานสำเร็จ การให้รางวัลจะสร้างแรงจูงใจให้ผู้รับคำสั่งทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
7. สั่งการโดยไม่รับผิดชอบ: ผู้สั่งการควรยอมรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของงาน หากงานไม่สำเร็จ ผู้สั่งการไม่ควรโทษผู้รับคำสั่งเพียงฝ่ายเดียว แต่ควรหาสาเหตุและแก้ไขร่วมกัน
8. สั่งการโดยไม่ยุติธรรม: ผู้สั่งการควรสั่งการอย่างยุติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ การสั่งการที่ไม่ยุติธรรม จะสร้างความไม่พอใจให้กับผู้รับคำสั่ง และส่งผลเสียต่อบรรยากาศการทำงาน
9. สั่งการโดยไม่เป็นตัวอย่างที่ดี: ผู้สั่งการควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับผู้รับคำสั่ง ผู้รับคำสั่งจะเคารพและเชื่อฟังผู้สั่งการ หากผู้สั่งการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของตัวเอง
10. สั่งการโดยไม่มีวิจารณญาณ: ผู้สั่งการควรใช้วิจารณญาณในการสั่งการ ไม่ควรสั่งการตามอำนาจหน้าที่เพียงอย่างเดียว การสั่งการที่ไม่มีวิจารณญาณ อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กร
การสั่งการที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี ผู้สั่งการควรระวังข้อผิดพลาดในการสั่งการ และปฏิบัติตามหลักการสั่งการที่ดี
การมอบหมายงาน (Delegation)
การมอบหมายงาน หมายถึง การที่ผู้มีอำนาจ (ผู้มอบหมาย) กระจายงาน ความรับผิดชอบ และอำนาจการตัดสินใจ บางส่วนหรือทั้งหมด ให้กับบุคคลอื่น (ผู้รับมอบหมาย) เพื่อให้ทำงานแทน โดยผู้มอบหมายยังคงมีอำนาจควบคุมดูแลและรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของงาน
สิ่งที่หัวหน้าวิตกกังวลเกี่ยวกับการมอบหมายงาน
หัวหน้ามักมีความกังวลเกี่ยวกับการมอบหมายงานให้กับลูกน้อง ความกังวลเหล่านี้ เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
1. กลัวว่างานจะไม่เสร็จตามเป้าหมาย: หัวหน้าอาจกังวลว่าลูกน้องไม่มีความสามารถ ประสบการณ์ หรือทักษะที่เพียงพอ ที่จะทำงานให้เสร็จตามเป้าหมาย
2. กลัวว่างานจะไม่ตรงตามมาตรฐาน: หัวหน้าอาจกังวลว่าลูกน้องจะทำงานไม่ตรงตามมาตรฐานที่ต้องการ
3. กลัวเสียเวลา: หัวหน้าอาจกังวลว่าการมอบหมายงาน จะต้องใช้เวลามาก ในการอธิบายงาน ติดตามผล และแก้ไขปัญหา
4. กลัวสูญเสียการควบคุม: หัวหน้าอาจกังวลว่าการมอบหมายงาน จะทำให้สูญเสียการควบคุมงาน
5. กลัวลูกน้องไม่พอใจ: หัวหน้าอาจกังวลว่าลูกน้องจะไม่พอใจ กับงานที่ได้รับมอบหมาย
6. กลัวลูกน้องไม่พัฒนา: หัวหน้าอาจกังวลว่าการมอบหมายงาน จะไม่ช่วยให้ลูกน้องพัฒนาศักยภาพ
7. กลัวลูกน้องลาออก: หัวหน้าอาจกังวลว่าการมอบหมายงานที่ยาก หรือท้าทาย จะทำให้ลูกน้องลาออก
8. กลัวถูกมองว่าเป็นหัวหน้าที่ไม่ดี: หัวหน้าอาจกังวลว่า หากลูกน้องทำงานผิดพลาด ตนจะถูกมองว่าเป็นหัวหน้าที่ไม่ดี
อย่างไรก็ตาม การมอบหมายงาน เป็นเครื่องมือสำคัญ สำหรับผู้นำในการบริหารจัดการองค์กร การมอบหมายงานที่ดี จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี
วิธีแก้ไขความคิดที่หัวหน้าวิตกกังวลเกี่ยวกับการมอบหมายงาน
ความกังวลของหัวหน้าเกี่ยวกับการมอบหมายงาน เป็นเรื่องปกติ แต่หัวหน้าสามารถลดความกังวลเหล่านี้ได้ โดยใช้กลยุทธ์ต่อไปนี้
1. สร้างความมั่นใจในตนเอง: หัวหน้าต้องมั่นใจในความสามารถของตนเอง ในการคัดเลือก ฝึกอบรม และสนับสนุนลูกน้อง หัวหน้าที่มั่นใจในตนเอง จะสามารถมอบหมายงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้อง: หัวหน้าควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้อง โดยการสื่อสารอย่างเปิดเผย จริงใจ และรับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง ความสัมพันธ์ที่ดี จะช่วยให้หัวหน้ามั่นใจว่าลูกน้องจะทำงานให้เสร็จตามเป้าหมาย
3. พัฒนาทักษะการมอบหมายงาน: หัวหน้าควรพัฒนาทักษะการมอบหมายงาน โดยเรียนรู้เทคนิคการมอบหมายงาน การสื่อสาร การติดตามผล และการให้รางวัล ทักษะการมอบหมายงานที่ดี จะช่วยให้หัวหน้ามอบหมายงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ใช้เครื่องมือช่วย: หัวหน้าสามารถใช้เครื่องมือช่วย ในการมอบหมายงาน เช่น ซอฟต์แวร์ติดตามผลงาน ระบบประเมินผล และเครื่องมือสื่อสาร เครื่องมือเหล่านี้ จะช่วยให้หัวหน้ามอบหมายงาน ติดตามผล และประเมินผลการทำงานของลูกน้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ฝึกฝนการมอบหมายงาน: หัวหน้าควรฝึกฝนการมอบหมายงานบ่อยๆ ยิ่งหัวหน้ามอบหมายงานมากเท่าไหร่ หัวหน้าก็จะยิ่งมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น
6. เรียนรู้จากประสบการณ์: หัวหน้าควรเรียนรู้จากประสบการณ์ ทั้งประสบการณ์ที่ดีและไม่ดี ประสบการณ์เหล่านี้ จะช่วยให้หัวหน้าพัฒนาทักษะการมอบหมายงาน
7. ขอคำปรึกษา: หัวหน้าสามารถขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หรือหัวหน้าคนอื่นๆ เกี่ยวกับการมอบหมายงาน คำปรึกษาเหล่านี้ จะช่วยให้หัวหน้ามั่นใจมากขึ้น
8. มองโลกในแง่ดี: หัวหน้าควรคิดบวก มองโลกในแง่ดี และมั่นใจว่าลูกน้องจะทำงานให้เสร็จตามเป้าหมาย ความคิดบวก จะช่วยให้หัวหน้าลดความกังวล และมุ่งมั่นทำงานต่อไป
9. ยอมรับความผิดพลาด: หัวหน้าต้องยอมรับว่า ไม่มีใครทำงานได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด หากลูกน้องทำงานผิดพลาด หัวหน้าควรใช้โอกาสนี้ ในการสอน และช่วยให้ลูกน้องพัฒนาต่อไป
10. เรียนรู้จากความผิดพลาด: หัวหน้าควรเรียนรู้จากความผิดพลาด ทั้งของตนเองและของลูกน้อง ความผิดพลาดเหล่านี้ จะช่วยให้หัวหน้าพัฒนาทักษะการมอบหมายงาน
การมอบหมายงาน เป็นเครื่องมือสำคัญ สำหรับผู้นำในการบริหารจัดการองค์กร หัวหน้าที่สามารถมอบหมายงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะประสบความสำเร็จ ในการบริหารจัดการองค์กร และสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม
ขั้นตอนในการพิจารณาคนที่เหมาะที่สุด
การพิจารณาคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานใดงานหนึ่ง เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับองค์กร เพราะจะส่งผลต่อประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ และความสำเร็จของงาน ดังนั้น หัวหน้าหรือผู้รับผิดชอบในการคัดเลือกบุคคล ควรมีขั้นตอนในการพิจารณาที่ชัดเจน มีระบบ และโปร่งใส
ขั้นตอนที่ 1: กำหนดทักษะที่จำเป็นสำหรับงาน
- เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์งานอย่างละเอียด เพื่อระบุความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และคุณสมบัติอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับงานนั้นๆ
- แบ่งทักษะออกเป็น 2 ประเภท
- ทักษะพื้นฐาน: ทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานทั่วไป เช่น ทักษะการสื่อสาร ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการทำงานเป็นทีม
- ทักษะเฉพาะทาง: ทักษะที่จำเป็นสำหรับงานเฉพาะอย่าง เช่น ทักษะการเขียนโปรแกรม ทักษะการออกแบบ ทักษะการขาย
ขั้นตอนที่ 2: ประเมินทักษะของบุคคล
- ประเมินทักษะพื้นฐานและทักษะเฉพาะทางของบุคคลแต่ละคน โดยใช้แหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น ประวัติส่วนตัว จดหมายสมัครงาน ผลงาน คำแนะนำ การทดสอบทักษะ และการสัมภาษณ์
- พิจารณาว่าบุคคลนั้นมีทักษะที่จำเป็นครบถ้วนหรือไม่ และมีทักษะใดที่ขาดหรือต้องการพัฒนาเพิ่มเติม
ขั้นตอนที่ 3: พิจารณาจุดแข็ง-จุดอ่อน
- วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของบุคคลแต่ละคน โดยพิจารณาจากประสบการณ์ ผลงาน และพฤติกรรม
- มองหาบุคคลที่มีจุดแข็งที่ตรงกับความต้องการของงาน และมีจุดอ่อนที่สามารถพัฒนาหรือแก้ไขได้
ขั้นตอนที่ 4: พิจารณาความมุ่งมั่นและศักยภาพ
- ประเมินความมุ่งมั่น แรงจูงใจ และศักยภาพของบุคคลแต่ละคน โดยพิจารณาจากเป้าหมาย ความตั้งใจ และความพยายามในการพัฒนาตนเอง
- มองหาบุคคลที่มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ขั้นตอนที่ 5: พิจารณาความเหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กร
- ประเมินว่าบุคคลนั้นมีบุคลิกภาพ ทัศนคติ และค่านิยมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กรหรือไม่
- มองหาบุคคลที่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี
ขั้นตอนที่ 6: ตัดสินใจและเลือกคนที่เหมาะสมที่สุด
- เปรียบเทียบผู้สมัครแต่ละคน โดยพิจารณาจากทักษะ จุดแข็ง-จุดอ่อน ความมุ่งมั่น ศักยภาพ และความเหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กร
- เลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งงาน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดขององค์กร
ปัจจัยเพิ่มเติมที่ควรพิจารณา
- ทรัพยากรที่มีอยู่: พิจารณาว่าองค์กรมีทรัพยากรเพียงพอสำหรับพัฒนาบุคคลหรือไม่ เช่น โปรแกรมฝึกอบรม เมนทอร์ โค้ช
- ทรัพยากรภายนอก: พิจารณาว่าองค์กรสามารถหาทรัพยากรภายนอกมาช่วยพัฒนาบุคคลได้หรือไม่ เช่น บริษัทรับจ้างฝึกอบรม ที่ปรึกษา
สรุป
การสั่งงานและมอบหมายงาน เป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้นำ หัวหน้าที่สามารถสั่งงานและมอบหมายงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถบรรลุเป้าหมายขององค์กร เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี