"จิตวิทยาในการบริหารและบังคับบัญชาลูกน้อง" เป็นการใช้ความรู้และทฤษฎีจิตวิทยาเพื่อการบริหารจัดการและสร้างความเข้าใจต่อพฤติกรรมและความต้องการของบุคลากรในทีมหรือองค์กร มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความเข้าใจและความรู้ในด้านจิตวิทยาของผู้บริหารหรือผู้นำ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและบังคับบัญชาลูกน้องให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการทำงานหรือการเรียนรู้ในองค์กร ซึ่งรวมถึงการเสนอแนวทางและกลยุทธ์ในการจัดการความขัดแย้ง สร้างสภาพแวดล้อมทำงานที่ดี และส่งเสริมพัฒนาการของบุคลากรในทีมหรือองค์กรด้วยวิธีการที่มีเหตุผลและเชื่อถือได้ การใช้จิตวิทยาในการบริหารและบังคับบัญชาลูกน้องช่วยให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว
หัวใจสำคัญของการบริหาร
คือ การเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ และนำความเข้าใจนั้นมาใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจ ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของลูกน้อง
หลักการสำคัญทางจิตวิทยาที่ควรนำมาใช้ในการบริหารและบังคับบัญชาลูกน้อง มีดังนี้
1. เข้าใจความต้องการของมนุษย์
มนุษย์ทุกคนมีความต้องการพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน เช่น ความต้องการการยอมรับ ความต้องการความมั่นคง ความต้องการความสำเร็จ หัวหน้าที่ดีควรเข้าใจความต้องการเหล่านี้ และพยายามตอบสนองความต้องการของลูกน้องอย่างเหมาะสม
2. สร้างแรงจูงใจ
แรงจูงใจเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หัวหน้าสามารถสร้างแรงจูงใจให้กับลูกน้องได้หลายวิธี เช่น การให้คำชมเชย การให้รางวัล การมอบหมายงานที่ท้าทาย การสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี
3. สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
การสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง หัวหน้าควรสื่อสารกับลูกน้องอย่างสม่ำเสมอ ชัดเจน ตรงไปตรงมา และเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง
4. สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี
บรรยากาศการทำงานที่ดีจะช่วยให้ลูกน้องรู้สึกสบายใจ มีความสุข และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หัวหน้าควรสร้างบรรยากาศการทำงานที่เปิดกว้าง ยุติธรรม ปลอดภัย และเอื้อต่อการเรียนรู้
5. พัฒนาศักยภาพของลูกน้อง
หัวหน้าที่ดีควรส่งเสริมให้ลูกน้องพัฒนาศักยภาพของตนเอง หัวหน้าสามารถทำได้โดยการให้การฝึกอบรม การสนับสนุน และโอกาสในการเรียนรู้
ตัวอย่างการนำจิตวิทยามาใช้ในการบริหาร
- การใช้คำชมเชย: การชมเชยเป็นแรงจูงใจที่มีประสิทธิภาพมาก หัวหน้าควรชมเชยลูกน้องเมื่อพวกเขาทำงานได้ดี
- การมอบหมายงาน: หัวหน้าควรเลือกมอบหมายงานให้กับลูกน้องตามความสามารถและความสนใจของพวกเขา
- การให้คำปรึกษา: หัวหน้าควรให้คำปรึกษาแก่ลูกน้องเมื่อพวกเขาประสบปัญหา
- การแก้ไขความขัดแย้ง: หัวหน้าควรมีทักษะในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างลูกน้อง
การประยุกต์ใช้จิตวิทยาในการบริหาร ขึ้นอยู่กับบริบทขององค์กร ลักษณะงาน และบุคลิกลักษณะของลูกน้อง หัวหน้าที่ดีควรมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ภูเขาน้ำแข็งแห่งสมรรถนะ (Competency Iceberg)
"ภูเขาน้ำแข็งแห่งสมรรถนะ" (Competency Iceberg) เป็นแนวคิดที่ใช้ในการอธิบายความรู้สึกของความสามารถและทักษะของบุคคล โดยมีส่วนสำคัญสองส่วนคือ
- ส่วนที่ปรากฏ: เป็นส่วนที่มองเห็นได้โดยตรง ซึ่งเปรียบเสมือนด้านบนของภูเขาน้ำแข็ง ในที่นี้คือความรู้สึกของความสามารถและทักษะที่ผู้คนแสดงออกมาต่อสาธารณะ ซึ่งส่วนนี้สามารถวัดและบ่งชี้ได้จากการทำงาน ประสบการณ์ และพฤติกรรมที่แสดงออกมา
- ส่วนที่ซ่อนอยู่: เป็นส่วนที่ไม่ปรากฏตามซอกหรือซอกต่อตาของผู้คน เหมือนด้านล่างของภูเขาน้ำแข็งที่จมอยู่ในน้ำ ในที่นี้คือความรู้สึกของความสามารถและทักษะที่ผู้คนไม่ได้แสดงออกมาต่อสาธารณะ ซึ่งอาจเป็นทักษะที่ยังไม่เติบโตหรือยังไม่ได้แสดงออก หรือเป็นทักษะที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
แนวคิดนี้สร้างความเข้าใจในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการพัฒนาทักษะและทักษะที่ซ่อนอยู่ เพื่อให้บุคลากรมีความสามารถและทักษะที่เพียงพอในการประสบความสำเร็จในหน้าที่ของตนได้อย่างเต็มที่ การแสดงออกของความสามารถและทักษะบนพื้นผิวเพียงแค่ส่วนเล็กของมุมมองทั้งหมดของความสามารถของบุคคล
สิ่งที่หัวหน้างานต้องทำ
- กำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์: หัวหน้างานต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและกลยุทธ์ในการบริหารทรัพยากรและการดำเนินงานของทีม เพื่อให้ทุกคนมีทิศทางการทำงานที่ชัดเจนและมุ่งสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ
- สร้างสภาพแวดล้อมทำงานที่ดี: หัวหน้างานต้องสร้างและรักษาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนความร่วมมือและการทำงานเป็นทีม
- การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์: หัวหน้างานต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ให้เหมาะสม โดยรวมถึงการจัดการความรู้สมบูรณ์และการพัฒนาทักษะของพนักงาน
- การสื่อสารและการชี้นำ: หัวหน้างานต้องมีความสามารถในการสื่อสารอย่างชัดเจนและเป็นกลาง และมีความสามารถในการให้คำแนะนำและชี้นำในการดำเนินงาน
- การตรวจสอบและวิเคราะห์ผลลัพธ์: หัวหน้างานต้องมีความสามารถในการตรวจสอบและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของงาน และใช้ข้อมูลนั้นในการปรับปรุงแผนการทำงานในอนาคต
- การแก้ไขปัญหาและการบริหารความขัดแย้ง: หัวหน้างานต้องมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาและการบริหารความขัดแย้งในทีม โดยการสร้างความเข้าใจและการเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม
- การพัฒนาบุคลากร: หัวหน้างานต้องส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรในทีม โดยให้กำลังใจและให้โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ
- การรับผิดชอบและการดำเนินการ: หัวหน้างานต้องรับผิดชอบในการดำเนินการตามแผนงานและเป้าหมายที่กำหนดไว้ และสร้างความเชื่อมั่นในทีมในการทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ
วงจรการบริหาร ( Management Cycle)
วงจรการบริหาร PDCA ย่อมาจาก Plan-Do-Check-Act เป็นกระบวนการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง (CQI) ที่สามารถใช้กับกิจกรรมหรือกระบวนการใดๆ วงจร PDCA มักจะแสดงเป็นวงกลม ซึ่งแสดงถึงลักษณะต่อเนื่องของกระบวนการ
4 ขั้นตอนของวงจร PDCA มีดังนี้
1. วางแผน (Plan)
ขั้นตอนแรกคือการระบุปัญหาหรือโอกาสในการปรับปรุง จากนั้นกำหนดเป้าหมายและพัฒนาแผนสำหรับการบรรลุเป้าหมาย แผนควรเฉพาะเจาะจง วัดผลได้ บรรลุได้ สมจริง และมีกำหนดเวลา
2. ปฏิบัติ (Do)
ขั้นตอนที่สองคือการดำเนินการตามแผน ขั้นตอนนี้อาจรวมถึงการฝึกอบรมพนักงาน การเปลี่ยนแปลงกระบวนการ หรือการทดสอบเทคโนโลยีใหม่
3. ตรวจสอบ (Check)
ขั้นตอนที่สามคือการวัดผลลัพธ์ของการดำเนินการและเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ ขั้นตอนนี้อาจรวมถึงการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการระบุสาเหตุของปัญหา
4. ดำเนินการ (Act)
ขั้นตอนที่สี่คือการดำเนินการแก้ไขเพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ ขั้นตอนนี้อาจรวมถึงการเปลี่ยนแปลงแผน การดำเนินการเพิ่มเติม หรือการมาตรฐาน化การแก้ไข
วงจร PDCA เป็นกระบวนการที่วนซ้ำ ซึ่งหมายความว่าหลังจากดำเนินการแก้ไขแล้ว กระบวนการจะเริ่มต้นใหม่ด้วยขั้นตอนการวางแผน วงจร PDCA สามารถใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บริการ กระบวนการ และระบบ
ประโยชน์ของวงจร PDCA
- ช่วยให้มั่นใจว่ามีการวางแผน ดำเนินการ ตรวจสอบ และดำเนินการแก้ไขกิจกรรมหรือกระบวนการต่างๆ อย่างเป็นระบบ
- ช่วยให้สามารถระบุและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยให้สามารถปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บริการ กระบวนการ และระบบได้อย่างต่อเนื่อง
- ช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
ข้อจำกัดของวงจร PDCA
- จำเป็นต้องมีเวลาและความพยายามในการดำเนินการ
- จำเป็นต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เพื่อวัดผลลัพธ์
- จำเป็นต้องมีการฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับวิธีการใช้วงจร PDCA
- จำเป็นต้องมีผู้นำที่เข้มแข็งเพื่อสนับสนุนและขับเคลื่อนการใช้วงจร PDCA
โดยรวมแล้ว วงจร PDCA เป็นเครื่องมือที่มีค่าสำหรับการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง