9 ทักษะการเป็นหัวหน้างาน (Supervisor) คือ ตำแหน่งงานที่สำคัญที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวหน้าไป เพราะหัวหน้างานเป็นผู้นำนโยบายจากแผนหลักขององค์กร (Master Plan) ขับเคลื่อนสู่แผนปฏิบัติงาน (Action Plan) กล่าวได้ว่าเป็นผู้ประสานระหว่างผู้บริหารและพนักงาน ดังนั้น ผู้เข้าอบรมจะได้นำความรู้เกี่ยวกับ 9 ทักษะ
9 ทักษะ ที่จะก้าวการเป็นหัวหน้างาน จึงต้องมีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ในการทำหน้าที่หรือบทบาทของตนเอง หลักสูตร 9 ทักษะ สําหรับการก้าวสู่หัวหน้างานมืออาชีพจึงเป็นหลักสูตรสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมความรู้และทักษะของหัวหน้างาน เพื่อก้าวสู่ความเป็นหัวหน้างานมืออาชีพ ในการพัฒนาเป็นองค์กรแบบยั่งยืนอย่างมั่นคงต่อไป
หน้าที่ของผู้นำเมื่อได้รับตำแหน่งหัวหน้างาน
เมื่อได้รับตำแหน่งหัวหน้างาน ย่อมมีความรับผิดชอบและหน้าที่สำคัญมากมาย หน้าที่หลักๆ ของผู้นำแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. การเป็นผู้นำ (Leadership)
- กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน สื่อสารให้สมาชิกในทีมเข้าใจ
- สร้างแรงบันดาลใจและปลุกไฟให้สมาชิกในทีมอยากทำงาน
- ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี
- เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสมาชิกในทีม
2. การจัดการ (Management)
- วางแผนงานและกลยุทธ์
- มอบหมายงานให้เหมาะสมกับความสามารถของสมาชิก
- ติดตามผลงานและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ
- แก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น
3. การสนับสนุน (Support)
- สนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการทำงาน
- ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือสมาชิกในทีม
- พัฒนาศักยภาพและทักษะของสมาชิกในทีม
- ดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของสมาชิกในทีม
4. การสื่อสาร (Communication)
- สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจน ตรงประเด็น
- รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากสมาชิกในทีม
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสมาชิกในทีม
นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่อื่นๆ เพิ่มเติม เช่น
- รับผิดชอบต่อผลงานของทีม
- ประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ
- พัฒนาตนเองอยู่เสมอ
การเป็นหัวหน้างานที่ดี จำเป็นต้องมีความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีทักษะการจัดการ รู้จักสนับสนุน และสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
10 คุณสมบัติหัวหน้างานที่มีประสิทธิภาพ
10 คุณสมบัติหัวหน้างานที่มีประสิทธิภาพ
1. มีความเป็นผู้นำ
- กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน
- สร้างแรงบันดาลใจและปลุกไฟให้สมาชิกในทีมอยากทำงาน
- ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี
- เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสมาชิกในทีม
2. มีเป้าหมายชัดเจน
- กำหนดเป้าหมาย SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, and Time-bound)
- สื่อสารเป้าหมายให้สมาชิกในทีมเข้าใจ
- แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อย
- ติดตามผลและประเมินผล
3. มีศิลปะการเจรจา
- สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจน ตรงประเด็น
- พูดโน้มน้าวใจผู้อื่น
- ฟังอย่างตั้งใจ
- ประนีประนอม
4. ซื่อสัตย์
- รักษาคำพูด
- ยุติธรรม
- โปร่งใส
- รับผิดชอบ
5. มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
- เข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสมาชิกในทีม
- แก้ปัญหาความขัดแย้ง
- ดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของสมาชิกในทีม
6. รู้จักใช้คน
- มอบหมายงานให้เหมาะสมกับความสามารถ
- พัฒนาศักยภาพของสมาชิกในทีม
- ให้โอกาสและความไว้วางใจ
- ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม
7. ตัดสินใจเด็ดขาด
- วิเคราะห์ข้อมูล
- ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย
- ตัดสินใจอย่างมั่นใจ
- รับผิดชอบต่อผลลัพธ์
8. รับฟังความคิดเห็นลูกน้อง
- เปิดใจรับฟัง
- ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของผู้อื่น
- นำความคิดเห็นมาพัฒนา
- สร้างบรรยากาศการทำงานที่เปิดกว้าง
9. บุคลิกภาพดี
- แต่งกายสุภาพ
- พูดจาสุภาพ
- ยิ้มแย้มแจ่มใส
10. สนับสนุนลูกน้อง
- ให้ทรัพยากรที่จำเป็น
- ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือ
- พัฒนาศักยภาพ
- ชื่นชมผลงาน
ระดับของผู้นำ
- ระดับที่ 1 ผู้นำตามตำแหน่งหน้าที่ Leader is action not position
- ระดับที่ 2 ผู้นำโดยสร้างสัมพันธภาพที่ดี Focus from Me to We
- ระดับที่ 3 ผู้นำโดยการสร้างผลงาน มีวิสัยทัศน์ชัดเจนกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้กับลูกน้อง
- ระดับที่ 4 ผู้นำโดยการพัฒนาผู้ตาม มองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนลูกน้อง
- ระดับที่ 5 ผู้นำโดยสมบูรณ์ เป็นคนสร้างผู้นำคนใหม่และวางรากฐานที่ดีให้กับองค์กร
John C. Maxwell นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะผู้นำ ได้แบ่งระดับของผู้นำออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้
1. ผู้นำตามตำแหน่งหน้าที่ (Positional Leader)
- ผู้นำระดับนี้เป็นผู้นำตามตำแหน่งงาน ไม่ได้มาจากการยอมรับของคน
- อำนาจของผู้นำมาจากตำแหน่ง ไม่ได้มาจากความน่าเชื่อถือ
- คนทำตามเพราะกลัว หรือเพราะเป็นหน้าที่
2. ผู้นำโดยสร้างสัมพันธภาพที่ดี (Relational Leader)
- ผู้นำสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคน
- คนทำตามเพราะชอบผู้นำ
- ผู้นำสร้างแรงจูงใจด้วยการให้รางวัล
3. ผู้นำโดยการสร้างผลงาน (Productive Leader)
- ผู้นำมีวิสัยทัศน์ชัดเจน
- ผู้นำสร้างแรงจูงใจด้วยเป้าหมาย
- ผู้นำมุ่งเน้นผลงาน
4. ผู้นำโดยการพัฒนาผู้ตาม (Developer Leader)
- ผู้นำมองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของลูกน้อง
- ผู้นำพัฒนาศักยภาพของลูกน้อง
- ผู้นำสร้างผู้นำรุ่นต่อไป
5. ผู้นำโดยสมบูรณ์ (Pinnacle Leader)
- ผู้นำสร้างผู้นำคนใหม่
- ผู้นำวางรากฐานที่ดีให้กับองค์กร
- ผู้นำสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่
วงจรการบริหาร (Management Cycle)
PDCA คือวงจรบริหารสี่ขั้นตอนที่ประกอบไปด้วย Plan (การวางแผน) Do (ปฏิบัติ) Check (ตรวจสอบ) และ Action (การดำเนินการ)วงจรการบริหารงานคุณภาพใช้ในการควบคุมและพัฒนากระบวนการหรือผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง PDCA ทั้งสี่ขั้นตอนเป็นกระบวนการที่สามารถทำซ้ำได้ เพื่อให้องค์กรสามารถบริหารความเปลี่ยนแปลงได้อย่างประสบความสำเร็จ
โดยที่ขั้นตอนของ PDCA มีดังนี้
(P) Plan – การวางแผน: หมายถึงการตั้งเป้าหมายจากปัญหาหรือโอกาสต่างๆ และสร้างแผนการทำงานหรือกระบวนการเพื่อทำให้เป้าหมายนี้ประสบความสำเร็จ
(D) Do – ปฏิบัติ/การทดสอบ: หมายถึงขั้นตอนการทดสอบ เป็นการลงมือทำและเก็บข้อมูลเพื่อหาจุดอ่อนหรือจุดที่สามารถพัฒนามากขึ้นได้ รวมถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆด้วย
(C) Check – การตรวจสอบ: หมายถึงขั้นตอนการตรวจสอบ เป็นขั้นตอนหาช่องทางและวิธีพัฒนากระบวนการต่างๆให้เร็วขึ้นหรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญของโอกาสและอุปกรรคต่างๆในกระบวนการ
(A) Action – การดำเนินการ/ปรับปรุงแก้ไข: หมายถึงการดำเนินการเพื่อปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้กระบวนการขั้นตอนต่างๆเร็วขึ้น ดีขึ้น หรือมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเดิม
ซึ่ง PDCA ก็เป็นขั้นตอนที่ถูกออกแบบมาให้ทำซ้ำได้ หมายความว่าหากเราได้มีการทำครบสี่ขั้นตอนแล้ว (วางแผน ไปสู่การทำ ไปสู่การตรวจสอบ และจบที่การปรับปรุง) ในกรณีนี้เราก็ควรทำการ ‘เริ่มใหม่’ เพื่อหาจุดอื่นในกระบวนการเพื่อพัฒนาเพิ่มเติม หรืออาจจะหาเป้าหมายใหม่ที่อยากบรรลุให้ได้ จองอบรม 9 ทักษะสําหรับการก้าวสู่หัวหน้างานมืออาชีพ โปรโมชั่นพิเศษ ซื้อ 1 แถม 1 ราคาเพียง 3,500 สมาชิกจ่ายเพียง 3,000 บาท
เป้าหมายต้อง (SMART)
SMART goal คืออะไ?
SMART goal คือ framework หรือกรอบอ้างอิงที่ใช้เพื่อตั้งเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยในการตั้งเป้าหมายด้วย SMART goal ไม่ใช่การตั้งเป้าหมายอย่างลอยๆ แต่จะต้องมีองค์ประกอบเหล่านี้ด้วย
S - Specific หมายถึง เป็นสิ่งที่ชี้เฉพาะ และมีขอบเขตที่แน่ชัด
M - Measurable หมายถึง สามารถวัดได้ มีหลักฐาน หรือการอ้างอิงได้
A - Achievable หมายถึง เป็นไปได้ สมเหตุสมผล ภายใต้ระยะเวลาและทรัพยากร
R - Relevant หมายถึง สอดคล้องกับเป้าหมายหรือผลลัพธ์ที่ต้องการในระยะยาว
T - Time-based หมายถึง มีระยะเวลาที่จำกัด
ความต้องการพื้นฐานของคน 5 ขั้น Maslow Needs
ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow's Hierarchy of Needs) เสนอโดย อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน อธิบายว่า มนุษย์มีความต้องการ 5 ขั้น เรียงลำดับจากขั้นต่ำสุดไปหาสูงสุด ดังนี้
1. ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs)
- เป็นความต้องการพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ เช่น อาหาร น้ำ อากาศ ที่พักพิง เสื้อผ้า การนอนหลับ
- มนุษย์จะต้องตอบสนองความต้องการเหล่านี้ก่อน จึงจะมีแรงจูงใจไปสู่ความต้องการขั้นอื่นๆ
2. ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง (Safety and Security Needs)
- เป็นความต้องการในความปลอดภัยจากอันตราย ความมั่นคงในชีวิต และความคุ้มครอง
- ความต้องการขั้นนี้รวมถึง ความต้องการในที่พักพิงที่ปลอดภัย การรักษาพยาบาล การมีงานทำ ประกันชีวิต ประกันสังคม
3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs)
- เป็นความต้องการในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การได้รับความรัก มิตรภาพ ความรู้สึกเป็นเจ้าของ และความรู้สึกอบอุ่น
- ความต้องการขั้นนี้รวมถึง ความต้องการในครอบครัว เพื่อนฝูง สโมสร ชุมชน
4. ความต้องการการนับถือ (Esteem Needs)
- เป็นความต้องการในการได้รับการยอมรับ การเคารพนับถือ ชื่อเสียง และความสำเร็จ
- ความต้องการขั้นนี้รวมถึง ความต้องการในความมั่นใจในตนเอง ความรู้สึกมีคุณค่า สถานะทางสังคม
5. ความต้องการในการพัฒนาศักยภาพของตน (Self-Actualization Needs)
- เป็นความต้องการสูงสุดของมนุษย์ เป็นความต้องการที่จะใช้ศักยภาพของตนให้เต็มที่ พัฒนาตนเองให้สมบูรณ์แบบ และบรรลุเป้าหมายในชีวิต
- ความต้องการขั้นนี้รวมถึง ความต้องการในการสร้างสรรค์ผลงาน การช่วยเหลือผู้อื่น การค้นหาความหมายของชีวิต
ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์แรงจูงใจของมนุษย์
ข้อจำกัดของทฤษฎี
- ลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์อาจไม่เหมือนกันสำหรับทุกคน
- มนุษย์อาจมีความต้องการในหลายขั้นพร้อมๆ กัน
- ทฤษฎีนี้ไม่ได้อธิบายถึงแรงจูงใจภายในของมนุษย์