การตรวจติดตามภายในระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถรับรู้และปรับปรุงการดำเนินงานในด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างต่อเนื่อง
iso14001 คือ
ISO 14001 เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในการกำหนดและให้ข้อกำหนดสำหรับระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management System - EMS) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรสามารถติดตาม วิเคราะห์ และปรับปรุงการจัดการสิ่งแวดล้อมของตนได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน มาตรฐาน ISO 14001 ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยองค์กรมาตรฐานสากล (International Organization for Standardization - ISO) และเป็นมาตรฐานที่มีความเชื่อถือและนิยมใช้กันทั่วโลกในหลายธุรกิจและองค์กรต่างๆ
หลักการของ ISO 14001 ครอบคลุมเรื่องการกำหนดเป้าหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อม การวางแผนการดำเนินงาน การดำเนินการและการควบคุมกิจกรรม การตรวจสอบและวิเคราะห์ผล และการปรับปรุงต่อเนื่อง
มีเป้าหมายหลักในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมของธุรกิจ โดยพยายามให้มีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพและการลดการสร้างปริมาณขยะ มลพิษ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยทั้งนี้เป็นการสนับสนุนหลักการของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ในธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ อีกด้วย
10 เทคนิค การตรวจติดตามภายในระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม
10 เทคนิคสำหรับการตรวจติดตามภายในระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงและรักษาระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมของตนได้อย่างเหมาะสม การใช้เทคนิคเหล่านี้เป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบันและในอนาคต มีเทคนิคดังต่อไปนี้
1. ต้องกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจนสำหรับการสำรวจพื้นที่
แนวทางที่เหมาะสำหรับการตรวจติดตามภายในระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยการกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจนสำหรับการสำรวจพื้นที่เป็นหนึ่งในข้อสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้
- กำหนดวัตถุประสงค์ของการสำรวจพื้นที่ ก่อนที่จะทำการสำรวจพื้นที่ ควรกำหนดวัตถุประสงค์ของการสำรวจอย่างชัดเจน เพื่อให้ทราบว่าต้องการข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น การตรวจสอบการปฏิบัติตามนโยบายสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบการประสิทธิภาพของการดำเนินงาน เป็นต้น
- กำหนดระยะเวลาการสำรวจ หลังจากกำหนดวัตถุประสงค์ เรียกเก็บข้อมูล จึงควรกำหนดระยะเวลาในการสำรวจพื้นที่ให้เหมาะสม โดยให้คำนึงถึงขอบเขตของงาน และความสำคัญของข้อมูลที่ต้องการ
- วางแผนการสำรวจ วางแผนการสำรวจพื้นที่ให้ครอบคลุมและระเบียบเรียบร้อย โดยการกำหนดพื้นที่ที่จะสำรวจ และเป้าหมายที่ต้องการทราบ เช่น การตรวจสอบการประยุกต์ใช้นโยบายสิ่งแวดล้อมในแผนกใดแผนกหนึ่ง
- การระบุเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการสำรวจ: ควรระบุเครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับการสำรวจพื้นที่ เช่น การใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อช่วยในการทำแผนที่และการนำทาง
- การฝึกอบรมทีม การฝึกอบรมทีมงานเพื่อให้พวกเขามีความรู้และทักษะในการทำงานและใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องในการสำรวจพื้นที่
- การสร้างแผนการดำเนินงาน การสร้างแผนการดำเนินงานเพื่อแนะนำกระบวนการการสำรวจ และการตรวจสอบการปฏิบัติตามแผนที่ระบุไว้
- การดำเนินการสำรวจ ดำเนินการสำรวจพื้นที่ตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ โดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่กำหนดไว้
- การบันทึกข้อมูล บันทึกข้อมูลที่ได้จากการสำรวจพื้นที่อย่างระเอียดและครบถ้วน
- การวิเคราะห์และการสรุปผล วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากการสำรวจพื้นที่เพื่อสรุปผลและตัดสินใจต่อการปรับปรุงหรือการดำเนินการต่อไป
- การรายงานผล รายงานผลการสำรวจพื้นที่และการดำเนินการต่อไป โดยสร้างรายงานที่ชัดเจนและเข้าใจได้สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง
2. การตรวจประเมินด้านสิ่งแวดล้อม
การตรวจประเมินด้านสิ่งแวดล้อม ควรที่จะเริ่มจากด้านนอกสู่ด้านในเพื่อให้สามารถค้นพบปัญหาและโอกาสที่เกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายในองค์กรได้อย่างครบถ้วน ดังนั้นการไล่เรียงการตรวจประเมินสิ่งแวดล้อมจากด้านนอกสู่ด้านใน เริ่มต้นการตรวจประเมิน ได้ดังนี้
- อาคารและสถานที่ภายนอก การตรวจสอบสภาพแวดล้อมของอาคารและสถานที่ภายนอก เช่น การตรวจสอบระบบการจ่ายน้ำ ระบบระบายน้ำ การบำบัดน้ำเสีย การบำบัดน้ำฝน และการจัดการกับน้ำเสีย
- รอบรั้วและพื้นที่รอบๆ การตรวจสอบรอบรั้วและพื้นที่รอบๆ อาคาร เพื่อตรวจสอบการจัดการขยะ การบริหารจัดการท่าเรือ การจัดการรถขนส่ง และปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเก็บรักษาวัสดุที่อาจทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม
- จุดปล่อยมลพิษ การตรวจสอบจุดปล่อยมลพิษ เช่น การตรวจสอบการปล่อยก๊าซเสีย การปล่อยน้ำเสีย การจัดการกับเสียง และการตรวจสอบการจัดการเสีย
- ภายในสถานที่กระบวนการผลิต การตรวจสอบสถานที่กระบวนการผลิตภายในองค์กร เพื่อตรวจสอบกระบวนการผลิตที่เป็นไปได้อย่างยั่งยืน การใช้วัสดุและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการตรวจสอบระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ภายในองค์กร
การตรวจประเมินด้านสิ่งแวดล้อมจากด้านนอกสู่ด้านในจะช่วยให้สามารถระบุปัญหาและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับทั้งระบบและกระบวนการในระดับองค์กรได้อย่างถูกต้องและเป็นระบบ โดยสามารถกำหนดและดำเนินการปรับปรุงหรือแก้ไขปัญหาที่พบเจอให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ
3. ใช้ยานพาหนะ เพื่อสำรวจพื้นที่ห่างไกล (remote areas) ก็สามารถทำได้
ใช้ยานพาหนะเพื่อสำรวจพื้นที่ห่างไกลเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบสภาพแวดล้อมในพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยสามารถดำเนินการได้ดังนี้
- การวางแผนเส้นทาง ก่อนการออกเดินทาง ควรวางแผนเส้นทางการเดินทางอย่างรอบคอบโดยพิจารณาถึงระยะทางที่จะเดินทาง และสภาพถนนหรือเส้นทางที่เลือกใช้
- เลือกยานพาหนะที่เหมาะสม เลือกใช้ยานพาหนะที่เหมาะสมกับเส้นทางและสภาพอากาศของพื้นที่ เช่น รถยนต์ที่มีระดับความทนทานต่อถนนที่ไม่ดี หรือรถออฟโรดที่สามารถเข้าถึงพื้นที่ลุ่มน้ำหรือเขาชันได้
- การเตรียมอุปกรณ์ เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางในพื้นที่ห่างไกล เช่น น้ำ อาหาร แผนที่ และเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบแวดล้อม เช่น กล้องถ่ายภาพ เครื่องวัดคุณภาพอากาศ หรือเครื่องวัดค่า GPS
- การปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัย ปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางในพื้นที่ห่างไกล เช่น การแจ้งให้คนรู้จักเกี่ยวกับเส้นทางและเวลาการเดินทาง การเติมน้ำมันให้เพียงพอ และตระหนักถึง ความปลอดภัยการขับขี่ ในสภาพที่ไม่ค่อยเหมาะสม
- การทำการสำรวจและบันทึกข้อมูล ทำการสำรวจและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่พบเจอในพื้นที่ห่างไกลอย่างรอบคอบ โดยรวมถึงการบันทึกตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ด้วยเครื่อง GPS เพื่อให้สามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ในการวิเคราะห์ในภายหลังได้อย่างถูกต้อง
4. อย่าใช้เวลามากเกินไป ในการสำรวจพื้นที่กระบวนการผลิต
การสำรวจพื้นที่กระบวนการผลิตควรจะเป็นการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพและไม่ใช้เวลามากเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและไม่ก่อให้เกิดความไม่พอใจจากฝ่ายผลิตภัณฑ์ ดังนั้น การลดเวลาในการสำรวจพื้นที่ กระบวนการผลิตสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
- วางแผนการสำรวจล่วงหน้า การวางแผนล่วงหน้าจะช่วยให้การสำรวจเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นประสบการณ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยควรจะกำหนดเวลาที่เหมาะสมสำหรับการสำรวจพื้นที่และยุทธศาสตร์ในการเคลื่อนที่ในพื้นที่กระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีช่วย การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีในการสำรวจเช่น การใช้รถยนต์หรือยานพาหนะที่เหมาะสมสำหรับการเข้าถึงพื้นที่อย่างรวดเร็ว การใช้ระบบนำทาง GPS เพื่อลดเวลาในการค้นหาสถานที่ หรือการใช้โดรนในการสำรวจพื้นที่ที่มีความซับซ้อนสูงสำหรับการเข้าถึง
- จำกัดขอบเขตของการสำรวจ ให้เน้นการสำรวจเฉพาะพื้นที่ที่มีความสำคัญและมีความจำเป็น โดยการจำกัดขอบเขตจะช่วยลดเวลาในการสำรวจโดยไม่ทำให้ขาดความสำคัญของข้อมูล
- ใช้ทีมงานที่มีประสบการณ์ การใช้ทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสำรวจพื้นที่กระบวนการผลิตจะช่วยลดเวลาในการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การทำการสำรวจแบบพิเศษ (Spot Checking) การทำการสำรวจแบบพิเศษบางส่วนที่เลือกมาจากตำแหน่งที่สุ่มหรือตำแหน่งที่มีความสำคัญมาก เพื่อลดเวลาในการสำรวจทั้งหมดแต่ก็ยังสามารถให้ข้อมูลที่มีความถูกต้องและเป็นประโยชน์ได้
5. หากทีมตรวจประเมินเป็นคณะใหญ่ (มากกว่า 4 ท่าน) ให้ทำการแยกทีมในการเดินสำรวจนี้เป็น 2 ทีม
การแยกทีมในการสำรวจเป็นสองทีมเมื่อทีมตรวจประเมินมีจำนวนมากกว่า 4 คนนั้นเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้การสำรวจเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น คำแนะนำในการแยกทีม มีดังนี้
- กำหนดหน้าที่และระบบงาน ก่อนที่จะแยกทีม ควรกำหนดหน้าที่และระบบงานของแต่ละทีมอย่างชัดเจน เพื่อให้ทราบว่าใครทำอะไร และมีการแบ่งแยกงานให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย
- แบ่งกลุ่มตามความเชี่ยวชาญ ควรพิจารณาแยกทีมตามความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ เช่น แยกทีมตามฝ่ายงาน เช่น ทีมสำรวจระบบน้ำ เป็นต้น
- แบ่งพื้นที่ แบ่งพื้นที่ที่ต้องการสำรวจออกเป็นสองส่วนให้ทีมทั้งสอง โดยพิจารณาจากความซับซ้อนของพื้นที่และปริมาณของงาน
- สร้างแผนการสื่อสาร สร้างแผนการสื่อสารที่เป็นระเบียบเพื่อให้ทีมสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างเหมาะสม รวมถึงวิธีการสื่อสารข้อมูลระหว่างทีม
- การปฏิบัติตามแผน แต่ละทีมควรปฏิบัติตามแผนการสำรวจที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัด และให้รายงานผลการสำรวจอย่างเป็นระบบ
- การประสานงาน ควรมีการประสานงานอย่างดีระหว่างทีมสองทีม เพื่อให้การสำรวจเป็นไปอย่างเป็นระบบและสอดคล้องกัน
- การรวบรวมข้อมูล ทีมควรรวบรวมข้อมูลและสรุปผลการสำรวจอย่างถูกต้องและเชื่อถือได้ และนำเสนอรายงานสรุปผลการสำรวจอย่างชัดเจนแก่ทีมผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง
6. ระหว่างการสำรวจให้ทำจดบันทึกเสมอ
ในระหว่างการสำรวจพื้นที่หรือกระบวนการผลิต การทำจดบันทึกเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลและข้อสังเกตได้อย่างถูกต้องและเชื่อถือได้ เพื่อให้การสำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้สามารถนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการวิเคราะห์และการวางแผนในภายหลังได้ดี ดังนั้น ควรมีการทำจดบันทึกเสมอระหว่างการสำรวจ โดยสามารถดำเนินการ ตามขั้นตอนต่อไปนี้
- บันทึกข้อมูลพื้นฐาน บันทึกข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญเกี่ยวกับพื้นที่หรือกระบวนการผลิต เช่น วันที่และเวลาที่ทำการสำรวจ สถานที่ สภาพอากาศ และเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้น
- ส่วนประกอบที่สำคัญ บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับส่วนประกอบหรือรายละเอียดที่สำคัญของพื้นที่หรือกระบวนการผลิต เช่น การตรวจสอบอุปกรณ์ การตรวจสอบระบบการจ่ายน้ำ การบันทึกการใช้พลังงาน หรือการตรวจสอบสภาพสิ่งแวดล้อม
- การแสดงผลข้อมูล บันทึกข้อมูลให้เป็นระเบียบและชัดเจน เช่น การใช้ตารางหรือแผนผัง เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านและวิเคราะห์
- ข้อสังเกตและปัญหาที่พบเจอ บันทึกข้อสังเกตและปัญหาที่พบเจอในระหว่างการสำรวจอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถดำเนินการแก้ไขหรือปรับปรุงตามทันทีหากจำเป็น
- เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการสำรวจ เช่น รายการอุปกรณ์ การตรวจสอบสภาพการใช้งาน และการบันทึกผลการใช้งาน
การทำจดบันทึกเสมอในระหว่างการสำรวจจะช่วยให้ข้อมูลที่ได้มีความถูกต้องและครบถ้วน และสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และการตัดสินใจในภายหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. หากพื้นที่ของสถานประกอบการซับซ้อน ควรนำ plot plan หรือ site map
ใช้ plot plan หรือ site map เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในการสำรวจพื้นที่ของสถานประกอบการที่มีความซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อมีการต้องการทำการสำรวจเพื่อการวางแผนหรือการตรวจสอบโครงสร้างของสถานประกอบการนั้นๆ ดังนั้น การนำ plot plan หรือ site map เข้ามาช่วยสำรวจสถานที่จะช่วยให้การสำรวจเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในการบันทึกข้อมูลและการรายงานผลอย่างถูกต้อง
ข้อดีของการใช้ plot plan หรือ site map มีดังนี้
- การตรวจสอบที่ตั้ง plot plan หรือ site map ช่วยให้สามารถตรวจสอบตำแหน่งและที่ตั้งของอาคาร โรงงาน และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ภายในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน
- การระบุโครงสร้าง ช่วยในการระบุโครงสร้างและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในสถานประกอบการ เช่น ระบบท่อน้ำ ระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ เป็นต้น
- การวางแผนการสำรวจ ช่วยในการวางแผนการสำรวจว่าจะต้องทำการสำรวจบริเวณใดบ้าง และควรมีการสำรวจแบบใดในแต่ละบริเวณ
- การบันทึกข้อมูล เป็นเครื่องมือที่ดีในการบันทึกข้อมูลของสถานที่ที่ถูกสำรวจ เช่น การบันทึกตำแหน่งของอุปกรณ์ ระบบ และสิ่งก่อสร้างต่างๆ
- การวางแผนและการวิเคราะห์ ช่วยในการวางแผน และการวิเคราะห์ข้อมูลในภายหลัง เช่น การปรับปรุงหรือการพัฒนาสถานที่ให้เหมาะสมมากขึ้น
ดังนั้น การใช้ plot plan หรือ site map เป็นการเตรียมความพร้อมที่สำคัญก่อนการสำรวจและช่วยให้การสำรวจเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
8. กำหนดเส้นทางเดินที่ไม่เป็นการเดินย้อนไปย้อนมา
การกำหนดเส้นทางเดินที่ไม่เดินย้อนไป-ย้อนมา เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การสำรวจเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น จึงควรมีการวางแผนเส้นทางเดินที่เหมาะสม โดยพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- วางแผนเส้นทางล่วงหน้า ก่อนการสำรวจควรวางแผนเส้นทางล่วงหน้าโดยพิจารณาถึงพื้นที่ที่ต้องการสำรวจ และเหมาะสมกับการเคลื่อนที่และการตรวจสอบ
- ระดับความยาก ควรพิจารณาถึงระดับความยากของเส้นทาง โดยพิจารณาจากอุปสรรคทางธรรมชาติ เช่น ภูเขา แม่น้ำ หรือป่าไม้ และการเคลื่อนที่ในพื้นที่อื่นๆ ที่มีความยากลำบาก
- การใช้ประโยชน์ของพื้นที่ ควรพิจารณาถึงการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ เช่น การหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีการผลิตเสีย หรือการทำลายสิ่งแวดล้อม
- การตรวจสอบสิ่งแวดล้อม ให้คำนึงถึงการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เช่น การตรวจสอบคุณภาพอากาศ คุณภาพน้ำ และการปล่อยมลพิษ
- การปฏิบัติตามคำแนะนำ ปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการเดินทางในพื้นที่ซึ่งประสบความยากลำบาก และการเตรียมความพร้อมในการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
- การใช้เครื่องมือ การใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับการตรวจสอบ เช่น แผนที่กล้องถ่ายภาพ และเครื่องวัดคุณภาพอากาศ
การกำหนดเส้นทางเดินที่ไม่เดินย้อนไป-ย้อนมา จะช่วยให้การสำรวจเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพในการรวบรวมข้อมูลและสำรวจสภาพแวดล้อมในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง และเชื่อถือได้
9. ให้ทีมผู้ตรวจประเมินเดินสำรวจไปกันให้ได้มากที่สุด
การให้ทีมผู้ตรวจประเมินเดินสำรวจไปพร้อมกันเป็นวิธีที่ดี เพื่อให้สามารถครอบคลุมพื้นที่ให้ได้มากที่สุด โดยสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสำรวจ
- แบ่งหมวดหมู่งาน แบ่งงานสำรวจออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ โดยพิจารณาถึงความเชี่ยวชาญและความสามารถของแต่ละสมาชิกในทีม
- กำหนดภาระงาน กำหนดภาระงานและหมวดหมู่งานให้แต่ละสมาชิกในทีม โดยให้คำนึงถึงความสามารถและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
- การแจกแจงแผนที่ แจกแจงแผนที่หรือแผนภาพของพื้นที่ที่ต้องการสำรวจให้แก่ทีม โดยมีการกำหนดเส้นทางเดินและพื้นที่ที่ต้องการสำรวจในแต่ละหมวดหมู่งาน
- การสื่อสาร ให้มีการสื่อสารอย่างชัดเจนและระบุเป้าหมายของการสำรวจให้ทุกคนในทีมเข้าใจ โดยรวมถึงการสื่อสารเกี่ยวกับการแจกแจงงานและการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
- การสร้างสมาธิ สร้างความตั้งใจและสมาธิที่แข็งแรงให้กับทีม โดยรวมถึงการให้กำลังใจและการสนับสนุนในการทำงาน
- การประสานงาน มีการประสานงานและการสนับสนุนต่อกันภายในทีม เพื่อให้ทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การสร้างการศึกษาเรียนรู้ สร้างโอกาสให้สมาชิกในทีมได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ จากการสำรวจและการทำงานร่วมกัน
โดยการให้ทีมผู้ตรวจประเมินเดินสำรวจไปพร้อมกัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสำรวจและครอบคลุมพื้นที่ได้มากที่สุด และยังเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างทีมที่มีความร่วมมือและการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต
10. ในวันแรกของการตรวจสอบให้ท่านไปถึงสถานที่ตรวจประเมินให้เร็วกว่าปกติ
การให้ทีมผู้ตรวจประเมินไปถึงสถานที่ตรวจสอบให้เร็วกว่าปกติในวันแรกของการตรวจสอบ เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทีมสามารถเริ่มต้นการสำรวจและทำงานได้โดยรวดเร็ว โดยสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
- การเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ก่อนวันแรกของการตรวจสอบ ควรทำการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าอย่างเต็มที่ เช่น การเตรียมอุปกรณ์, เอกสาร, แผนที่ และทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการสำรวจ
- การวางแผนเส้นทาง กำหนดเส้นทางเดินที่เหมาะสมและสั้นที่สุดไปยังสถานที่ตรวจประเมิน โดยพิจารณาถึงการจราจรและเงื่อนไขถนน
- การทำการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ให้ทีมผู้ตรวจประเมินทำการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าในขณะที่กำลังเดินทาง โดยตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์และเตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อให้พร้อมที่จะเริ่มต้นทำงานทันทีเมื่อถึงสถานที่
- การใช้เทคโนโลยี การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดเวลาในการเดินทาง โดยเช่นการใช้แอพพลิเคชั่นนำทางหรือการใช้ระบบ GPS เพื่อค้นหาเส้นทางที่สั้นที่สุด
- การทำการเริ่มต้นทันที เมื่อถึงสถานที่ ให้ทีมผู้ตรวจประเมินทำการเริ่มต้นทำงานทันทีโดยไม่ต้องล่าช้า โดยการทำการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าจะช่วยลดเวลาที่ใช้ในการเริ่มต้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการสำรวจอย่างมาก
สรุป
10 เทคนิคสำหรับการตรวจติดตามภายในระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม มีดังนี้
- กำหนดระยะเวลาให้ชัดเจนสำหรับการสำรวจพื้นที่
- การตรวจประเมินด้านสิ่งแวดล้อม
- การใช้ยานพาหนะเพื่อสำรวจพื้นที่ห่างไกล (remote areas) ก็สามารถทำได้
- อย่าใช้เวลามากเกินไปในการสำรวจพื้นที่กระบวนการผลิต
- หากทีมตรวจประเมินเป็นคณะใหญ่ (มากกว่า 4 ท่าน) ให้ทำการแยกทีมในการเดินสำรวจนี้เป็นสองทีม
- ระหว่างการสำรวจให้ทำจดบันทึกเสมอ
- หากพื้นที่ของสถานประกอบการซับซ้อน ควรนำ plot plan หรือ site map
- กำหนดเส้นทางเดินที่ไม่เป็นการเดินย้อนไปย้อนมา
- ให้ทีมผู้ตรวจประเมินเดินสำรวจไปกันให้ได้มากที่สุด
- ในวันแรกของการตรวจสอบให้ท่านไปถึงสถานที่ตรวจประเมินให้เร็วกว่าปกติ
การใช้เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้การตรวจติดตามภายในระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้อย่างมาก