บทความ

เทคนิคการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ

การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทั้งนายจ้างและลูกจ้าง การปรับที่เหมาะสมจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ทำงาน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการด้วย เพื่อให้การปรับค่าจ้างเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย มาทำความเข้าใจเทคนิคการปรับค่าจ้างขั้นต่ำกัน

เทคนิคการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ

เทคนิคการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ คือ อัตราเงินเดือนต่ำสุด ที่กฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายให้กับลูกจ้างทุกคน โดยไม่คำนึงถึงประสบการณ์ วุฒิการศึกษา หรือตำแหน่งงาน เป็นการกำหนดเพดานล่างของค่าจ้าง เพื่อให้ลูกจ้างมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2568 ทั่วประเทศ มีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2568

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2568 ทั่วประเทศ มีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2568

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2568 ทั่วประเทศ มีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2568

ขอขอบคุณภาพ จาก เซฟตี้อินไทย.com

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2568 เตรียมพร้อมรับมืออย่างไรในฐานะ HR หรือผู้บริหาร

การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2568 เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อองค์กรทุกแห่ง โดยเฉพาะฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) และผู้บริหาร ดังนั้นการเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและรักษาพนักงานที่มีคุณภาพไว้ได้

การเตรียมตัวสำหรับ HR และผู้บริหาร

1. ศึกษาข้อมูลอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ให้ละเอียด

  • เช็คอัตราที่ปรับเพิ่ม ตรวจสอบอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ในแต่ละพื้นที่ที่องค์กรดำเนินงาน เพื่อนำมาปรับใช้ให้ถูกต้อง
  • เปรียบเทียบกับโครงสร้างค่าจ้างปัจจุบัน วิเคราะห์ว่าตำแหน่งงานใดบ้างที่ต้องปรับขึ้นค่าจ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่
  • ประเมินผลกระทบ ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่องบประมาณค่าจ้างขององค์กร

2. ปรับปรุงโครงสร้างค่าจ้าง

  • ปรับฐานเงินเดือน ปรับฐานเงินเดือนของพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
  • ทบทวนช่วงค่าจ้าง ตรวจสอบช่วงค่าจ้างของแต่ละตำแหน่ง เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับตลาดแรงงาน
  • พิจารณาปรับโครงสร้างการจ่ายผลตอบแทน อาจต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการจ่ายผลตอบแทน เช่น โบนัส สวัสดิการ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

3. สื่อสารกับพนักงาน

  • ชี้แจงเหตุผล อธิบายให้พนักงานเข้าใจถึงเหตุผลในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างค่าจ้าง
  • สร้างความเข้าใจ สื่อสารให้พนักงานทราบถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น และแนวทางการดำเนินงานในอนาคต
  • รับฟังความคิดเห็น เปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ

4. วางแผนการเงิน

  • ประมาณการค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ประมาณการค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกิดจากการปรับขึ้นค่าจ้าง
  • วางแผนการจัดสรรงบประมาณ วางแผนการจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
  • พิจารณาปรับลดต้นทุนในส่วนอื่นๆ หากจำเป็น อาจต้องพิจารณาปรับลดต้นทุนในส่วนอื่นๆ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

5. พัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน

  • ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร สนับสนุนให้พนักงานพัฒนาตนเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างผลผลิตที่สูงขึ้น
  • ปรับปรุงกระบวนการทำงาน ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนการผลิต
  • นำเทคโนโลยีมาใช้ นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

6. เตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง

  • ติดตามสถานการณ์ ติดตามสถานการณ์ของตลาดแรงงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด
  • ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นโอกาสที่ดีในการปรับปรุงระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กร ทำให้องค์กรมีความยืดหยุ่นและสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ?

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ?

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ?

ทำไมอัตราค่าจ้างขั้นต่ำถึงสำคัญ?

  • ปกป้องสิทธิของลูกจ้าง ป้องกันไม่ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างต่ำเกินไป ทำให้ลูกจ้างได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม
  • ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ช่วยลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน
  • เพิ่มกำลังซื้อ เมื่อคนมีเงินเดือนมากขึ้น กำลังซื้อก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
  • กระตุ้นเศรษฐกิจ การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำจะช่วยกระตุ้นการบริโภค ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน
  • สร้างแรงจูงใจให้เข้าสู่ตลาดแรงงาน ค่าจ้างที่สูงขึ้นจะดึงดูดให้ผู้คนเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น

ใครกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ?

ในประเทศไทย อัตราค่าจ้างขั้นต่ำจะถูกกำหนดโดย คณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ สภาพเศรษฐกิจ และความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

  • ค่าครองชีพ เมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น รัฐบาลอาจพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อให้ลูกจ้างยังคงมีคุณภาพชีวิตที่ดี
  • อัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะทำให้เงินบาทมีมูลค่าน้อยลง ดังนั้นการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจึงเป็นการรักษากำลังซื้อของประชาชน
  • สภาพเศรษฐกิจ สภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวจะทำให้ผู้ประกอบการมีกำลังจ่ายมากขึ้น ซึ่งจะเอื้อต่อการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ

เทคนิคการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 6 Model วิธีปรับค่าจ้างให้เหมาะสมกับองค์กร

เมื่อมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย องค์กรต่างๆ ก็ต้องมีการปรับโครงสร้างค่าจ้างภายในองค์กรให้สอดคล้องกัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและจูงใจพนักงานได้อย่างเหมาะสม โดยทั่วไปจะมีเทคนิคการปรับค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ 6 รูปแบบหลักๆ ดังนี้

เทคนิคการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 6 Model วิธีปรับค่าจ้างให้เหมาะสมกับองค์กร

เทคนิคการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 6 Model วิธีปรับค่าจ้างให้เหมาะสมกับองค์กร

6 เทคนิคการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ

  1. Traditional (แบบดั้งเดิม) เป็นวิธีการปรับค่าจ้างที่นิยมใช้กันมาก โดยจะกำหนดช่วงของเงินเดือนสำหรับแต่ละตำแหน่งงาน จากนั้นจึงแบ่งช่วงเงินเดือนออกเป็นระดับต่างๆ (grade) เมื่อพนักงานทำงานได้ตามเป้าหมายหรือมีประสบการณ์เพิ่มขึ้น ก็จะได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น
  2. Flat Rate (ปรับอัตราคงที่) วิธีนี้จะปรับเพิ่มค่าจ้างให้กับพนักงานทุกคนในอัตราที่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใด หรือมีผลงานอย่างไร เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับค่าจ้างอย่างรวดเร็วและง่าย
  3. Compression (ปรับลดช่องว่าง) เมื่อมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้น อาจทำให้เกิดปัญหาที่เรียกว่า "Compression" คือ ค่าจ้างของพนักงานระดับล่างใกล้เคียงหรือเท่ากับพนักงานระดับสูง วิธีแก้ไขคือ การปรับขึ้นค่าจ้างให้กับพนักงานระดับสูงขึ้นไปด้วย เพื่อรักษาความแตกต่างของค่าจ้างแต่ละระดับ
  4. Range Salary (ช่วงเงินเดือน) เป็นวิธีการกำหนดช่วงเงินเดือนที่กว้างขึ้นสำหรับแต่ละตำแหน่งงาน ทำให้มีความยืดหยุ่นในการปรับค่าจ้างตามผลงานและประสบการณ์ของแต่ละบุคคลมากขึ้น
  5. Performance Base (อิงตามผลงาน) วิธีนี้จะเน้นการปรับค่าจ้างตามผลงานที่พนักงานทำได้ โดยพนักงานที่ทำผลงานได้ดีจะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างมากกว่าพนักงานที่ทำผลงานได้ปานกลาง
  6. Special Adjust (ปรับเฉพาะบุคคล) เป็นการปรับค่าจ้างที่พิจารณาจากปัจจัยเฉพาะบุคคล เช่น ทักษะ ความสามารถ หรือความจำเป็นขององค์กร

เลือกใช้เทคนิคใดดี?

การเลือกใช้เทคนิคการปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น

  • ขนาดขององค์กร องค์กรขนาดใหญ่จะมีความซับซ้อนในการปรับค่าจ้างมากกว่าองค์กรขนาดเล็ก
  • งบประมาณ งบประมาณที่มีจำกัดจะส่งผลต่อการเลือกใช้เทคนิค
  • วัฒนธรรมองค์กร วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นผลงานอาจเหมาะกับการใช้เทคนิค Performance Base
  • สภาพตลาดแรงงาน สภาพตลาดแรงงานที่แข่งขันสูงอาจต้องใช้เทคนิคที่หลากหลายเพื่อดึงดูดและรักษาพนักงาน

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม

  • ความเป็นธรรม การปรับค่าจ้างต้องมีความเป็นธรรมต่อพนักงานทุกคน
  • แรงจูงใจ การปรับค่าจ้างควรเป็นแรงจูงใจให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ความยั่งยืน การปรับค่าจ้างต้องคำนึงถึงความยั่งยืนขององค์กร
  • กฎหมาย ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้อง
การเลือกใช้เทคนิคการปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมจะช่วยให้องค์กรสามารถรักษาพนักงานที่มีคุณภาพ ดึงดูดพนักงานใหม่ และสร้างความมั่นคงให้กับองค์กรในระยะยาวได้

การบริหารค่าตอบแทน กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จขององค์กร

การบริหารค่าตอบแทน

การบริหารค่าตอบแทน

การบริหารค่าตอบแทน คืออะไร?

การบริหารค่าตอบแทน หมายถึง การวางแผน กำหนด และควบคุมระบบการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงาน เพื่อให้สอดคล้องกับคุณค่าของงาน ผลการปฏิบัติงาน และความสามารถของบุคคล รวมถึงสภาพตลาดแรงงาน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อดึงดูด รักษา และจูงใจให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลงานที่ดีให้กับองค์กร

วัตถุประสงค์ของการบริหารค่าตอบแทน

  • ดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพ การเสนอค่าตอบแทนที่เหมาะสมและน่าสนใจ จะช่วยดึงดูดผู้ที่มีความสามารถและทักษะเข้ามาทำงานในองค์กร
  • รักษาบุคลากรที่มีอยู่ การให้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและสอดคล้องกับผลงาน จะช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าได้รับการดูแลและมีแรงจูงใจที่จะทำงานอยู่กับองค์กรในระยะยาว
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การเชื่อมโยงค่าตอบแทนเข้ากับผลการปฏิบัติงาน จะช่วยกระตุ้นให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย
  • ลดการหมุนเวียนของบุคลากร การมีระบบค่าตอบแทนที่ดี จะช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงาน ทำให้องค์กรสามารถรักษาความรู้และประสบการณ์ของพนักงานไว้ได้
  • สร้างความเท่าเทียม การบริหารค่าตอบแทนที่เป็นธรรมจะช่วยสร้างความรู้สึกเป็นธรรมและความเท่าเทียมกันในหมู่พนักงาน
  • ปรับปรุงภาพลักษณ์ขององค์กร การมีระบบค่าตอบแทนที่ดีจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร และดึงดูดนักลงทุน

องค์ประกอบของค่าตอบแทน

ค่าตอบแทนประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ ได้แก่

  • ค่าจ้าง เป็นรายได้หลักที่พนักงานได้รับจากการทำงาน
  • สวัสดิการ เป็นผลประโยชน์เพิ่มเติมที่องค์กรมอบให้แก่พนักงาน เช่น ประกันสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นต้น
  • โบนัส เป็นเงินรางวัลที่จ่ายให้พนักงานตามผลการปฏิบัติงานหรือการบรรลุเป้าหมาย
  • หุ้น การให้หุ้นแก่พนักงานเป็นการสร้างความผูกพันและให้พนักงานมีส่วนร่วมในการเติบโตขององค์กร

หลักการสำคัญในการบริหารค่าตอบแทน

  • ความเป็นธรรม ค่าตอบแทนที่ให้กับพนักงานต้องมีความเป็นธรรม สอดคล้องกับคุณค่าของงานและผลการปฏิบัติงาน
  • ความสอดคล้อง ระบบค่าตอบแทนต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์และวัตถุประสงค์ขององค์กร
  • ความสามารถในการแข่งขัน ค่าตอบแทนต้องมีความสามารถในการแข่งขันกับตลาดแรงงาน
  • ความยืดหยุ่น ระบบค่าตอบแทนต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
  • ความเข้าใจ พนักงานทุกคนต้องเข้าใจระบบค่าตอบแทนอย่างชัดเจน

เทคนิคการบริหารค่าตอบแทน

  • การสำรวจค่าจ้าง เพื่อเปรียบเทียบค่าจ้างขององค์กรกับค่าจ้างในตลาด
  • การประเมินค่างาน เพื่อกำหนดค่าของงานแต่ละตำแหน่ง
  • การออกแบบโครงสร้างค่าจ้าง เพื่อกำหนดช่วงค่าจ้างสำหรับแต่ละตำแหน่ง
  • การประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับค่าจ้าง
  • การสื่อสาร สื่อสารนโยบายค่าตอบแทนให้พนักงานเข้าใจอย่างชัดเจน
การบริหารค่าตอบแทน เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในหลายด้าน การบริหารค่าตอบแทนที่ดีจะช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานได้อย่างยั่งยืน

ค่าตอบแทนที่เป็นค่าจ้าง และไม่เป็นค่าจ้าง เข้าใจให้ถูกต้องเพื่อบริหารทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ

การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างค่าตอบแทนที่เป็นค่าจ้างและไม่เป็นค่าจ้างนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เพราะจะส่งผลต่อสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่พนักงานจะได้รับ เช่น การคำนวณค่าชดเชยกรณีเลิกจ้าง การคำนวณค่าจ้างสำหรับการคำนวณเบี้ยขยัน หรือการคำนวณค่าจ้างสำหรับการคำนวณค่าประกันสังคม เป็นต้น

ค่าตอบแทนที่เป็นค่าจ้าง และไม่เป็นค่าจ้าง

ค่าตอบแทนที่เป็นค่าจ้าง และไม่เป็นค่าจ้าง

ค่าตอบแทนที่เป็นค่าจ้าง

ค่าตอบแทนที่เป็นค่าจ้าง คือ เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงาน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะรวมถึง:

  • เงินเดือน: เป็นรายได้หลักที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอ
  • ค่าจ้างรายวัน: สำหรับลูกจ้างที่ทำงานเป็นรายวัน
  • ค่าล่วงเวลา: เงินที่ได้รับเพิ่มจากการทำงานเกินเวลาที่กำหนด
  • ค่าครองชีพ: เงินที่จ่ายเพิ่มเติมเพื่อชดเชยค่าครองชีพที่สูงขึ้น
  • ค่าเข้ากะ: เงินที่จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการทำงานในกะกลางคืนหรือกะดึก
  • ค่าตำแหน่ง: เงินที่จ่ายเพิ่มเติมสำหรับตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบสูง
  • ค่าแรง: สำหรับงานที่คิดค่าจ้างตามจำนวนชิ้นงาน

ค่าตอบแทนที่ไม่เป็นค่าจ้าง

ค่าตอบแทนที่ไม่เป็นค่าจ้าง คือ สิ่งของหรือสิทธิประโยชน์ที่นายจ้างมอบให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง แต่เป็นการเพิ่มความพึงพอใจให้กับพนักงาน เช่น:

  • ค่าสวัสดิการ: เช่น ประกันสุขภาพ, ค่ารักษาพยาบาล, ค่าเล่าเรียนบุตร
  • โบนัส: เงินรางวัลที่จ่ายตามผลการปฏิบัติงาน
  • เบี้ยขยัน: เงินรางวัลที่จ่ายให้กับพนักงานที่ทำงานเกินความคาดหมาย
  • ค่าคอมมิชชั่น: เงินรางวัลที่จ่ายให้กับพนักงานขายตามยอดขาย
  • หุ้น: การให้หุ้นแก่พนักงาน
  • เงินช่วยเหลือต่างๆ: เช่น เงินช่วยเหลืองานแต่งงาน, เงินช่วยเหลือฌาปนกิจ
ค่าคอมมิชชั่นบางประเภทอาจถือเป็นค่าจ้างได้ หากเป็นค่าคอมมิชชั่นที่คำนวณจากจำนวนชิ้นงานที่ผลิตได้ หรือจากยอดขายโดยตรง

ทำไมต้องแยกแยะค่าตอบแทนที่เป็นค่าจ้างและไม่เป็นค่าจ้าง?

การแยกแยะค่าตอบแทนที่เป็นค่าจ้างและไม่เป็นค่าจ้างมีความสำคัญ เพราะ

  • การคำนวณค่าชดเชย เมื่อพนักงานลาออกหรือถูกเลิกจ้าง ค่าชดเชยจะคำนวณจากค่าจ้างเฉลี่ย
  • การคำนวณค่าประกันสังคม ค่าจ้างจะถูกนำมาคำนวณเพื่อหักค่าประกันสังคม
  • การวางแผนภาษี ค่าจ้างและสวัสดิการบางประเภทอาจมีผลต่อการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
  • การเจรจาต่อรอง การทำความเข้าใจถึงค่าตอบแทนที่เป็นค่าจ้างและไม่เป็นค่าจ้างจะช่วยให้พนักงานสามารถเจรจาต่อรองค่าตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างค่าตอบแทนที่เป็นค่าจ้างและไม่เป็นค่าจ้าง จะช่วยให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างสามารถบริหารจัดการเรื่องค่าตอบแทนได้อย่างถูกต้องและโปร่งใส นอกจากนี้ยังช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถวางแผนการเงินและการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

กระบวนการในการบริหารค่าตอบแทน สู่การสร้างแรงจูงใจและความพึงพอใจให้กับพนักงาน

กระบวนการในการบริหารค่าตอบแทน

กระบวนการในการบริหารค่าตอบแทน

การบริหารค่าตอบแทน เป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งในการบริหารทรัพยากรบุคคล เพราะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้กับองค์กรได้อีกด้วย กระบวนการบริหารค่าตอบแทนโดยทั่วไปจะประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

1. การวิเคราะห์งาน (Job Analysis)

  • วัตถุประสงค์ เพื่อทำความเข้าใจถึงรายละเอียดของงานแต่ละตำแหน่ง เช่น หน้าที่ความรับผิดชอบ ความรู้ ทักษะ และความสามารถที่ต้องใช้
  • วิธีการ การสัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติงาน การสังเกตการณ์การทำงาน การวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง
  • ผลลัพธ์ ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการกำหนดค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับแต่ละตำแหน่ง

2. การประเมินค่างาน (Job Evaluation)

  • วัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความสำคัญและความยากง่ายของงานแต่ละตำแหน่ง เพื่อกำหนดลำดับชั้นของตำแหน่งและใช้เป็นฐานในการกำหนดค่าตอบแทน
  • วิธีการ มีหลายวิธี เช่น การจัดอันดับตำแหน่ง (Ranking Method) การให้คะแนนตำแหน่ง (Point Factor Method)
  • ผลลัพธ์ ได้คะแนนค่างานของแต่ละตำแหน่ง ซึ่งจะนำไปใช้ในการสร้างโครงสร้างค่าจ้าง

3. การสำรวจค่าจ้าง (Salary Survey)

  • วัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบค่าจ้างขององค์กรกับค่าจ้างในตลาดแรงงาน
  • วิธีการ การเก็บรวบรวมข้อมูลค่าจ้างจากองค์กรอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • ผลลัพธ์ ได้ข้อมูลค่าจ้างเฉลี่ยของตำแหน่งต่างๆ ในตลาด ซึ่งจะนำมาใช้ในการปรับปรุงโครงสร้างค่าจ้างขององค์กร

4. การกำหนดโครงสร้างค่าจ้าง (Compensation Structure)

  • วัตถุประสงค์ เพื่อสร้างโครงสร้างค่าจ้างที่เป็นธรรมและสอดคล้องกับค่างานและตลาดแรงงาน
  • วิธีการ การนำข้อมูลจากการวิเคราะห์งาน การประเมินค่างาน และการสำรวจค่าจ้าง มาสร้างตารางค่าจ้าง
  • ผลลัพธ์ ได้โครงสร้างค่าจ้างที่แสดงให้เห็นถึงช่วงค่าจ้างของแต่ละตำแหน่ง

5. การปรับปรุงค่าตอบแทน (Compensation Adjustment)

  • วัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานขององค์กร สภาพตลาดแรงงาน และความสามารถของพนักงาน
  • วิธีการ การปรับขึ้นค่าจ้างตามอัตราเงินเฟ้อ การให้โบนัสตามผลประกอบการ การปรับเพิ่มค่าจ้างตามผลการประเมินผลการปฏิบัติงาน
  • ผลลัพธ: พนักงานได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและมีความพึงพอใจ

สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการบริหารค่าตอบแทน

  • ความเป็นธรรม ค่าตอบแทนต้องเป็นธรรมและสอดคล้องกับคุณค่าของงานและผลการปฏิบัติงาน
  • ความสามารถในการแข่งขัน ค่าตอบแทนต้องมีความสามารถในการแข่งขันกับตลาดแรงงาน
  • ความยืดหยุ่น โครงสร้างค่าตอบแทนต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
  • การสื่อสาร ต้องสื่อสารนโยบายค่าตอบแทนให้พนักงานเข้าใจอย่างชัดเจน

ผลประโยชน์ของการบริหารค่าตอบแทนที่ดี

  • ดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถ ค่าตอบแทนที่เหมาะสมจะช่วยดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถและช่วยให้รักษาพนักงานที่มีอยู่แล้ว
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การเชื่อมโยงค่าตอบแทนเข้ากับผลการปฏิบัติงานจะช่วยกระตุ้นให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ลดการหมุนเวียนของบุคลากร การมีระบบค่าตอบแทนที่ดีจะช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงาน
  • สร้างความพึงพอใจให้กับพนักงาน พนักงานที่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมจะรู้สึกพึงพอใจและมีความสุขในการทำงาน
  • ปรับปรุงภาพลักษณ์ขององค์กร การมีระบบค่าตอบแทนที่ดีจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร
การบริหารค่าตอบแทน เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในหลายด้าน การบริหารค่าตอบแทนที่ดีจะช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานได้อย่างยั่งยืน

การออกแบบโครงสร้างเงินเดือน

การออกแบบโครงสร้างเงินเดือน

การออกแบบโครงสร้างเงินเดือน

การออกแบบโครงสร้างเงินเดือนเป็นขั้นตอนสำคัญในการบริหารค่าตอบแทนขององค์กร โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับพนักงานทุกคน สร้างแรงจูงใจในการทำงาน และดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงาน

ทำไมต้องออกแบบโครงสร้างเงินเดือน?

  • ความเป็นธรรม เพื่อให้การจ่ายค่าตอบแทนเป็นไปอย่างยุติธรรม สอดคล้องกับคุณค่าของงานและความสามารถของพนักงาน
  • แรงจูงใจ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมุ่งมั่น
  • ดึงดูดบุคลากร เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงานและรักษาพนักงานที่มีอยู่
  • ลดการหมุนเวียนของบุคลากร เพื่อลดอัตราการลาออกของพนักงาน
  • ควบคุมค่าใช้จ่าย เพื่อให้การบริหารค่าใช้จ่ายด้านค่าตอบแทนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ประเภทของโครงสร้างเงินเดือน

โครงสร้างเงินเดือนที่นิยมใช้กันมี 3 ประเภทหลัก ได้แก่

1. โครงสร้างเงินเดือนแบบอิงราคาตลาด (Market-based)

  • ลักษณะ อิงจากการสำรวจค่าจ้างในตลาดแรงงาน เพื่อให้ค่าจ้างของพนักงานมีความสอดคล้องกับอุตสาหกรรมและตำแหน่งงาน
  • ข้อดี ช่วยให้ค่าจ้างมีความแข่งขัน ดึงดูดบุคลากรได้ง่าย
  • ข้อควรพิจารณา ต้องมีการสำรวจค่าจ้างอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ข้อมูลเป็นปัจจุบัน

2.โครงสร้างเงินเดือนแบบดั้งเดิม (Traditional)

  • ลักษณะ กำหนดระดับค่าจ้าง (Pay grade) ที่แตกต่างกันตามตำแหน่งงาน และมีการปรับขึ้นตามอายุงานหรือตำแหน่ง
  • ข้อดี ง่ายต่อการบริหารจัดการ
  • ข้อควรพิจารณา อาจไม่สะท้อนถึงความแตกต่างของผลงานหรือความสามารถของแต่ละบุคคล

3.โครงสร้างเงินเดือนแบบ Broad-banding

  • ลักษณะ กำหนดช่วงค่าจ้างที่กว้างขึ้นสำหรับแต่ละตำแหน่งงาน เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการปรับค่าจ้างตามผลงานและความสามารถ
  • ข้อดี เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างความยืดหยุ่นและส่งเสริมให้พนักงานพัฒนาตนเอง
  • ข้อควรพิจารณา อาจมีความซับซ้อนในการบริหารจัดการ

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการออกแบบโครงสร้างเงินเดือน

  • ค่าจ้างในตลาด ต้องทำการสำรวจค่าจ้างในตลาดเพื่อให้ค่าจ้างมีความแข่งขัน
  • คุณค่าของงาน ต้องประเมินค่าของงานแต่ละตำแหน่ง
  • ผลการปฏิบัติงาน ควรมีการเชื่อมโยงค่าจ้างกับผลการปฏิบัติงานของพนักงาน
  • ความสามารถขององค์กร ต้องคำนึงถึงงบประมาณและความสามารถทางการเงินขององค์กร
  • วัฒนธรรมองค์กร โครงสร้างเงินเดือนควรสอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร

ขั้นตอนการออกแบบโครงสร้างเงินเดือน

  1. วิเคราะห์งาน กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละตำแหน่ง
  2. ประเมินค่างาน กำหนดค่าของงานแต่ละตำแหน่ง
  3. สำรวจค่าจ้าง เก็บรวบรวมข้อมูลค่าจ้างในตลาด
  4. ออกแบบโครงสร้างค่าจ้าง สร้างตารางค่าจ้างที่แสดงช่วงค่าจ้างของแต่ละตำแหน่ง
  5. สื่อสาร สื่อสารโครงสร้างค่าจ้างให้พนักงานเข้าใจ
การออกแบบโครงสร้างเงินเดือนที่ดีจะช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายในการดึงดูด รักษา และพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพ

CategoriesHRD / HRM

Topprofessional And Development

สถาบันฝึกอบรมและที่ปรึกษาทางด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์และองค์กร บริการให้คำปรึกษาด้านระบบ ISO แบบครบวงจรด้วยหลักสูตรคุณภาพอาจารย์ผู้สอนมากด้วยประสบการณ์

วันทำการ ( จันทร์ - เสาร์ เวลา 8:00 - 17:00 น. )

ติดตามเรา

icon-facebookicon-lineicon-youtubeicon-tiktok
Copyright 2023 © HERMES Digital Marketing . All Rights Reserved