บทความ

บทบาทหน้าที่ของหัวหน้างาน The Role of Supervisor

บทบาทหน้าที่หัวหน้างานยุคใหม่ (Role of Supervisor and Smart Leader)

บทบาทหน้าที่หัวหน้างานยุคใหม่ (Role of Supervisor and Smart Leader)

บทบาทและหน้าที่ของหัวหน้างาน (Supervisor) มีความสำคัญในการบริหารจัดการและสนับสนุนการทำงานของทีมหรือกลุ่มงานต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในสาขางานนั้น ๆ

บทบาทและหน้าที่ของหัวหน้างาน ประกอบด้วย

  1. การนำทางและให้คำแนะนำ หัวหน้างานมีหน้าที่นำทีมหรือกลุ่มงานไปในทิศทางที่ถูกต้อง และให้คำแนะนำเพื่อช่วยเสริมสร้างทักษะและความเชี่ยวชาญของสมาชิกในทีม
  2. การวางแผนและจัดการเวลา หัวหน้างานต้องวางแผนงานการทำงาน และจัดการเวลาให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถสร้างผลผลิตที่ดีและตรงตามเป้าหมาย
  3. การกำหนดหรือแบ่งหน้าที่ หัวหน้างานมีหน้าที่กำหนดหรือแบ่งหน้าที่ให้กับสมาชิกในทีม โดยคำนึงถึงความสามารถและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
  4. การสื่อสาร หัวหน้างานต้องมีความสามารถในการสื่อสารอย่างเป็นระบบและชัดเจน ทั้งในการแจ้งข่าวสาร ประชุม หรือแก้ไขปัญหา
  5. การดูแลและสนับสนุน หัวหน้างานต้องให้การสนับสนุนและดูแลสมาชิกในทีม โดยสร้างบรรยากาศทำงานที่ดีและเอื้อต่อความก้าวหน้า
  6. การตรวจสอบและประเมินผล หัวหน้างานต้องตรวจสอบและประเมินผลงานของทีม เพื่อให้มั่นใจว่างานถูกดำเนินไปตามแผนหรือไม่ และมีการปรับปรุงตามความต้องการ
  7. การแก้ไขปัญหา หัวหน้างานต้องมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในการทำงาน เพื่อให้สามารถดำเนินการไปในทิศทางที่ถูกต้อง
  8. การพัฒนาทักษะและความรู้ หัวหน้างานต้องสนับสนุนในการพัฒนาทักษะและความรู้ของสมาชิกในทีม เพื่อให้สามารถทำงานอย่างมืออาชีพและเติบโตไปในอนาคต
การปฏิบัติหน้าที่ของหัวหน้างานอาจแตกต่างไปตามลักษณะขององค์กร และสภาพการทำงานที่แตกต่างกันไป แต่หลักการพื้นฐานด้านการนำ การสื่อสาร และการจัดการยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ที่ไม่ควรขาดอยู่ในบทบาทของหัวหน้างาน ในองค์กร

ภาวะผู้นํา 5 ระดับ (The 5 Levels of Leadership)

"ภาวะผู้นํา 5 ระดับ" (The 5 Levels of Leadership) เป็นแนวคิดที่ถูกพัฒนาโดย John C. Maxwell เพื่ออธิบายระดับของความสามารถในการนำ โดยแบ่งออกเป็น 5 ระดับหลัก ได้แก่

ภาวะผู้นํา 5 ระดับ (The 5 Levels of Leadership)

ภาวะผู้นํา 5 ระดับ (The 5 Levels of Leadership)

  1. Position (ตําแหน่ง) การนำสิ่งนี้เกิดจากตำแหน่งหรือตำแหน่งทางการ เมื่อคุณได้รับตำแหน่งหนึ่ง ๆ ในองค์กร คุณมีความสามารถในการควบคุมและสั่งการตามหน้าที่ของคุณ ซึ่งผู้ที่ติดตามคุณมักจะทำเช่นนั้นเพราะพวกเขาต้องทำตามคำสั่งของคุณ
  2. Permission (ยอมรับ) ระดับนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ที่ติดตามคุณ พวกเขาเริ่มเห็นคุณเป็นพื้นฐานในฐานะของผู้นำ และจะยอมรับคำแนะนำและคำแนะนำของคุณ
  3. Production (ผลงาน) ระดับนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มสร้างผลงานและผลการดำเนินงานที่ดี เพื่อให้ผู้ติดตามเห็นว่าคุณมีความสามารถในการส่งผลในงานและโครงการที่ดี
  4. People Development (สร้างคน) ระดับนี้คุณเริ่มสนใจในการพัฒนาความสามารถของผู้อื่น คุณเริ่มมีบทบาทในการสร้างทีมและสร้างความสามารถให้กับผู้ติดตาม
  5. Pinnacle (ศรัทธา) ระดับสุดยอดของภาวะผู้นํา ระดับนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณมีความสามารถในการผลิตผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม และสามารถสร้างผู้นำระดับอื่น ๆ ได้ เรียกว่า "ศรัทธา" เพราะคุณได้รับความเคารพจากผู้ติดตามของคุณอย่างสูง

การเข้าใจและปรับใช้แนวคิด "ภาวะผู้นํา 5 ระดับ" ช่วยให้ผู้นําเข้าใจถึงความสำคัญของการพัฒนาตนเองและผู้อื่นในการเติบโตเป็นผู้นําที่มีคุณภาพและสามารถสร้างผลลัพธ์อย่างยอดเยี่ยมในองค์กรได้อย่างเหมาะสม

ผลสำเร็จของงาน เกิดขึ้นจากอะไรบ้าง ผลสำเร็จจะเกิดขึ้นต้องเน้น 4M+2E+R

ผลสำเร็จของงาน เกิดขึ้นจากอะไรบ้าง ผลสำเร็จจะเกิดขึ้นต้องเน้น 4M+2E+R

ผลสำเร็จของงาน เกิดขึ้นจากอะไรบ้าง ผลสำเร็จจะเกิดขึ้นต้องเน้น 4M+2E+R

การเน้น 4M+2E+R เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการบริหารงานและโปรเจกต์ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างเหมาะสม โดยสรุปตัวชี้วัดดังนี้

  1. Man (คนหรือพนักงาน) การเลือกคนที่มีความสามารถและความพร้อมในการทำงาน รวมถึงการพัฒนาและสร้างทักษะของพนักงาน เพื่อให้พวกเขามีประสิทธิภาพในการทำงาน
  2. Machine (เครื่องจักรและอุปกรณ์) การใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม โดยการบำรุงรักษาและปรับปรุงเครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ
  3. Method (กระบวนการทำงาน) การใช้กระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเป็นระบบ เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและตรงตามเป้าหมาย
  4. Material (วัตถุดิบ) การเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและเหมาะสม ซึ่งสามารถสร้างผลงานที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพได้
  5. Environment Safety and Health (สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และ สุขภาพคนทำงาน) การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสุขภาพดีสำหรับพนักงานในการทำงาน รวมถึงการป้องกันอันตรายและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
  6. Ethic and Customer Requirement (กฎหมายและข้อกำหนดลูกค้า) การปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการให้บริการตามความต้องการของลูกค้าอย่างเต็มที่
  7. Risk Management (การบริหารความเสี่ยง) การตระหนักถึงความเสี่ยงและการบริหารจัดการกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการวางแผนและดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ
การเน้น 4M+2E+R จะช่วยให้งานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย และเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างผลสำเร็จในโครงการหรืองานต่าง ๆ ในองค์กร

ผลสําเร็จของเป้าหมายเกิดจาก 2 สิ่งสําคัญ

การบรรลุเป้าหมายที่ประสบความสำเร็จมักมีสาเหตุหลักๆ 2 ประการดังนี้

ผลสําเร็จของเป้าหมายเกิดจาก 2 สิ่งสําคัญ

ผลสําเร็จของเป้าหมายเกิดจาก 2 สิ่งสําคัญ

เป้าหมายต้องเป็นแบบ SMART GOAL (เป้าหมายที่เชื่อมโยงกับ SMART คือ Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound)

  • Specific (เฉพาะเจาะจง) เป้าหมายต้องระบุโดยชัดเจนและเฉพาะเจาะจง เพื่อให้ทราบว่าต้องการให้เกิดอะไร
  • Measurable (สามารถวัดได้) เป้าหมายต้องสามารถวัดผลได้โดยใช้ตัวชี้วัดที่ชัดเจน เช่น จำนวนเงิน, เวลา, หรือปริมาณ
  • Achievable (ที่สามารถทำได้) เป้าหมายต้องเป็นไปได้และสอดคล้องกับความสามารถและทรัพยากรที่มีอยู่
  • Relevant (เกี่ยวข้อง) เป้าหมายต้องเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์หรือยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้
  • Time-bound (มีเวลากำหนด) เป้าหมายต้องมีเวลาที่กำหนดเพื่อให้มีความเร่งด่วนและเสร็จสิ้นภารกิจตามเวลาที่กำหนด

การวางแผนต้องยึดหลักแบบ 5W 1H+2H (Who, What, When, Where, Why, How, How much, How many)

  • Who (ใคร) คนหรือกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย
  • What (อะไร) สิ่งที่ต้องทำหรือสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้น
  • When (เมื่อ) เวลาหรือช่วงเวลาที่ต้องการให้เป้าหมายถูกบรรลุ
  • Where (ที่ไหน) สถานที่หรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบรรลุเป้าหมาย
  • Why (ทำไม) เหตุผลหรือแรงจูงใจที่ทำให้ต้องบรรลุเป้าหมาย
  • How (อย่างไร) วิธีการหรือขั้นตอนที่จะใช้ในการบรรลุเป้าหมาย
  • How much (เป็นเงิน) จำนวนเงินที่ต้องใช้ในการบรรลุเป้าหมาย
  • How many (เป็นจำนวน) จำนวนของสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องใช้หรือผลิตขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมาย
การยึดหลักแบบ 5W 1H+2H ช่วยให้การวางแผนเป้าหมายมีความกระชับ และเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้มีโอกาสสำเร็จมากขึ้นโดยภาพรวม การประสบความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายนั้นมักจะขึ้นอยู่กับความคิดรวบยอดและการวางแผนที่เป็นระบบอย่างมากๆ ร่วมกับการปฏิบัติการเป็นขั้นตอนที่ชัดเจนและสามารถติดตามได้โดยง่าย

เครื่องมือที่ช่วยควบคุมงาน ให้ได้ผลงาน และสำเร็จตามแผนและเป้าหมาย เมื่อรับแผนหลัก ต้องกำหนดแผนย่อย

เครื่องมือที่ช่วยควบคุมงาน

เครื่องมือที่ช่วยควบคุมงาน

  1. การวางแผน (Planning) การวางแผนเพื่อกำหนดเป้าหมายและแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและเป็นระบบ ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น Gantt chart, Project Management Software หรือ SMART goal setting ได้
  2. การนำทีม (Leading) การนำทีมไปสู่การปฏิบัติตามแผน ได้แก่การสร้างบรรยากาศทำงานที่กระตุ้นและสนับสนุนการทำงานร่วมกัน เช่น Team building activities, Leadership training programs เป็นต้น
  3. การจัดการ (Organizing) การจัดการทรัพยากรและการแบ่งหน้าที่ต่าง ๆ ให้กับทีมทำงาน ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องมือเช่น Organization chart, Task management software เป็นต้น
  4. การติดตามผล (Monitoring) การติดตามและวัดผลงานเพื่อให้ทราบถึงความก้าวหน้าของงาน สามารถใช้เครื่องมือเช่น Performance dashboards, Progress tracking tools, Feedback mechanisms เป็นต้น
  5. การควบคุม (Controlling) การตรวจสอบและควบคุมการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถปรับปรุงและป้องกันปัญหาได้ทันท่วงที สามารถเป็นเครื่องมือต่าง ๆ เช่น KPIs (Key Performance Indicators), Progress reports, Project management software เป็นต้น
การใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เป็นประจำและปรับใช้ตามความเหมาะสมของงาน และองค์กร จะช่วยให้การควบคุมงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถสำเร็จตามแผนและเป้าหมาย ได้อย่างเต็มที่

เครื่องมือในการพัฒนาบุคลากร

 เครื่องมือในการพัฒนาบุคลากร

เครื่องมือในการพัฒนาบุคลากร

  1. การสอน (Teaching) การให้ความรู้และทักษะผ่านการสอนโดยผู้เชี่ยวชาญหรือบุคคลที่มีความรู้ในเรื่องที่สนใจ
  2. การฝึกงาน (On-the-Job Training - OJT) การให้โอกาสให้บุคลากรได้ฝึกฝนและเรียนรู้ทักษะใหม่โดยการทำงานจริงในสถานการณ์ที่ทำงาน
  3. การฝึกอบรม (Training) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นที่การพัฒนาทักษะและความรู้ให้กับบุคลากรเพื่อให้มีความเชี่ยวชาญในงานที่ทำ
  4. การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self Learning) การเรียนรู้โดยใช้ทรัพยากรการเรียนรู้ต่าง ๆ อย่างอิสระ เช่น อ่านหนังสือ, ดูคลิปวิดีโอ, หรือเข้าร่วมคอร์สออนไลน์
  5. การเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring) การให้คำปรึกษาและการเป็นแนวทางในการพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากรจากบุคคลที่มีประสบการณ์และความชำนาญมากขึ้น
  6. การเป็นโค้ช (Coaching) การให้คำแนะนำและการสนับสนุนในการพัฒนาทักษะและการปรับปรุงพฤติกรรมของบุคลากร
  7. การเป็นผู้สfacilitator การช่วยในกระบวนการการเรียนรู้และพัฒนาโดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  8. การให้การปรึกษา (Counseling) การให้คำปรึกษาและการสนับสนุนในด้านที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาส่วนตัวและอาชีพของบุคลากร
การใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างเหมาะสมและในบริบทที่เหมาะสมสามารถช่วยให้บุคลากรพัฒนาทักษะและความรู้ในงานและชีวิตอาชีพของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ

อย่างเสริมเพิ่มเติม เครื่องมือเหล่านี้สามารถใช้งานร่วมกันหรือแยกออกจากกันได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์และความต้องการของบุคลากรที่ต้องการพัฒนา การใช้เครื่องมือในการพัฒนาบุคลากรอย่างเหมาะสมจะช่วยให้บุคลากรมีความพร้อมและสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในองค์กรได้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว และเชื่อมั่นได้ว่าการลงทุนในการพัฒนาบุคลากรเป็นสิ่งที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กรอย่างยั่งยืนและยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้นอีกด้วย

กระบวนการแก้ไขปัญหาของหัวหน้างาน

กระบวนการแก้ไขปัญหาของหัวหน้างาน

กระบวนการแก้ไขปัญหาของหัวหน้างาน

  1. กำหนดและวิเคราะห์สาเหตุ ในขั้นตอนนี้หัวหน้างานจะต้องระบุปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหานั้นๆ โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลและการสำรวจข้อมูลต่างๆ เพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา
  2. กำหนดทางเลือก หลังจากที่ได้ระบุสาเหตุของปัญหาแล้ว หัวหน้างานจะต้องพิจารณาและกำหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหา เพื่อที่จะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับขั้นตอนถัดไป
  3. ประเมินทางเลือก หัวหน้างานจะต้องประเมินทางเลือกแต่ละอันว่ามีความเป็นไปได้และเหมาะสมต่อสถานการณ์และเป้าหมายหรือไม่ โดยใช้ข้อมูลและข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญหรือทีมงาน
  4. ตัดสินใจเลือก หลังจากที่ได้ทำการประเมินทางเลือกแล้ว หัวหน้างานจะต้องทำการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่เหมาะสมและมีโอกาสสำเร็จสูงสุดเพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหา
  5. ดำเนินการ หลังจากที่ทางเลือกถูกเลือกแล้ว หัวหน้างานจะต้องนำแผนการที่กำหนดไว้มาดำเนินการจริงๆ โดยการส่งเสริมและดูแลด้านการดำเนินการอย่างเหมาะสม
  6. ประเมินผล หลังจากการดำเนินการเสร็จสิ้น หัวหน้างานจะต้องทำการประเมินผลการแก้ไขปัญหาว่าได้ผลตามเป้าหมายหรือไม่ และดำเนินการปรับปรุงหรือแก้ไขในกรณีที่ต้องการเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต
การดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวช่วยให้หัวหน้างานสามารถจัดการและแก้ไขปัญหาในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ

สรุป

บทบาทและหน้าที่ของหัวหน้างาน มีความสำคัญอย่างมากในการสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพและสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีในการดำเนินงานขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Topprofessional And Development

สถาบันฝึกอบรมและที่ปรึกษาทางด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์และองค์กร บริการให้คำปรึกษาด้านระบบ ISO แบบครบวงจรด้วยหลักสูตรคุณภาพอาจารย์ผู้สอนมากด้วยประสบการณ์

วันทำการ ( จันทร์ - เสาร์ เวลา 8:00 - 17:00 น. )

ติดตามเรา

icon-facebookicon-lineicon-youtubeicon-tiktok
Copyright 2023 © HERMES Digital Marketing . All Rights Reserved