การทำงานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม คลังสินค้า งานก่อสร้าง งานบริการ ไปจนถึงสำนักงาน ล้วนมี “ความเสี่ยง” ต่อการเกิดอุบัติเหตุในการทำงานทั้งสิ้น แม้จะมีมาตรการดูแลความปลอดภัยอย่างดีเพียงใด แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ หน้าที่สำคัญของนายจ้างตามกฎหมายจึงไม่ใช่เพียงการ “ป้องกัน” แต่ต้อง “รับมือและรายงาน” อย่างถูกต้อง เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กระทบความปลอดภัยของลูกจ้าง
ในบทความนี้ HRODTHAI จะพาเจาะลึกว่า หากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง หรือเหตุอันตรายที่ทำให้ลูกจ้างเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส หรือทำให้สถานประกอบกิจการเสียหาย นายจ้างต้องจัดการอย่างไรบ้างตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงบทลงโทษหากละเลยไม่ปฏิบัติ ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ทุกสถานประกอบการควรศึกษาอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย และรักษาชีวิตของลูกจ้างอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ส่วนที่ 1 ทำไมการรายงานอุบัติเหตุร้ายแรงจึงสำคัญ
กฎหมายความปลอดภัยในการทำงานในประเทศไทย กำหนดให้นายจ้างต้องมีมาตรการป้องกันอุบัติเหตุ บาดเจ็บ และการเจ็บป่วยจากการทำงาน และเมื่อเกิดเหตุขึ้นต้องรายงานต่อหน่วยงานรัฐทันทีภายในเวลาที่กำหนด เหตุผลสำคัญคือ
- หน่วยงานรัฐต้องตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เพื่อประเมินความปลอดภัย และสั่งการแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ
- ลูกจ้างหรือครอบครัวลูกจ้างต้องได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายอย่างถูกต้อง เช่น เงินทดแทน
- นายจ้างต้องแสดงความรับผิดชอบและโปร่งใส เพื่อยืนยันว่ามีมาตรการควบคุมความปลอดภัยตามกฎหมาย
- การไม่รายงานถือเป็น “ความผิดตามกฎหมาย” และมีบทลงโทษทั้งจำและปรับ
ดังนั้น การรับมือเมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่ใช่เรื่องของความเหมาะสม แต่เป็น “ข้อบังคับทางกฎหมาย” ที่ต้องทำทันที
ส่วนที่ 2 ประเภทของเหตุร้ายแรงที่นายจ้างต้องรายงาน
หลักเกณฑ์ทั่วไปของการรายงานอุบัติเหตุในสถานประกอบกิจการ สามารถสรุปเป็น 3 กลุ่มใหญ่ตามแนวทางหน่วยงานความปลอดภัยแรงงาน ดังนี้
- กลุ่มที่ 1 ลูกจ้างเสียชีวิตจากการทำงาน
- กลุ่มที่ 2 เกิดอันตรายร้ายแรงต่อสถานประกอบกิจการหรือสิ่งปลูกสร้าง
- กลุ่มที่ 3 ลูกจ้างได้รับอันตรายหรือเจ็บป่วยรุนแรงตามเกณฑ์กฎหมาย
ทั้ง 3 กลุ่มนี้ มีเงื่อนไขกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้อง “รายงานภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ” โดยอาจมีทั้งการแจ้งทางโทรศัพท์ โทรสาร อีเมล หรือหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วจึงตามด้วยหนังสือรายงานเหตุอย่างเป็นทางการ
ส่วนที่ 3 นายจ้างต้องทำอะไรบ้าง เมื่อเกิดกรณีลูกจ้างเสียชีวิตจากการทำงาน
เหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดคือการสูญเสียชีวิตของลูกจ้าง ซึ่งกฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องดำเนินการเร่งด่วนดังนี้
1.แจ้งเหตุให้สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในพื้นที่ทราบทันที โดยการ
- โทรศัพท์
- โทรสาร
- หรือช่องทางใดก็ตามที่สามารถแจ้งได้รวดเร็วที่สุด
2.ภายใน 7 วัน ต้องจัดทำ “รายงานเป็นหนังสือ” ส่งให้สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยต้องระบุ
- วันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ
- ลักษณะงานที่ลูกจ้างปฏิบัติ
- สาเหตุที่คาดว่าเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิต
- วิธีการป้องกัน/มาตรการความปลอดภัยที่มีอยู่เดิม
- แนวทางแก้ไขไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ
3.แจ้งสำนักงานประกันสังคม เพื่อดำเนินขั้นตอนเกี่ยวกับเงินทดแทนกรณีเสียชีวิต
4.อำนวยความสะดวกต่อการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยจากภาครัฐ
การปกปิด ซ่อนเร้น เปลี่ยนแปลงสภาพสถานที่ หรือชะลอเวลาในการรายงาน ถือเป็นความผิดที่มีบทลงโทษชัดเจน และเพิ่มความเสี่ยงทางกฎหมายแก่สถานประกอบการอย่างมาก
ส่วนที่ 4 หากสถานประกอบกิจการเกิดความเสียหายรุนแรง ต้องรายงานอย่างไร
อุบัติเหตุบางครั้งไม่ได้ทำร้ายเฉพาะชีวิตคนเท่านั้น แต่ยังอาจสร้างความเสียหายต่ออาคาร เครื่องจักร หรือระบบโครงสร้าง เช่น
- ไฟไหม้ในโรงงาน
- หม้อน้ำระเบิด
- อาคารบางส่วนพังถล่ม
- เหตุรั่วไหลของสารเคมีที่ส่งผลต่อพื้นที่กว้าง
กฎหมายกำหนดว่า หากเหตุการณ์ทำให้สถานประกอบกิจการต้องหยุดผลิต ต้องอพยพพนักงาน หรือสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้าง นายจ้างต้องดำเนินการดังนี้
- แจ้งเหตุทันทีต่อสำนักงานความปลอดภัยแรงงานในพื้นที่
- แจ้งรายละเอียดเบื้องต้น เช่น ความเสียหาย, ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ, จำนวนผู้ได้รับผลกระทบ
- ส่งรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 7 วัน โดยต้องระบุ
- ลักษณะของความเสียหาย
- สาเหตุที่คาดการณ์
- รายชื่อผู้บาดเจ็บ/เสียชีวิต (ถ้ามี)
- มาตรการแก้ไขเร่งด่วน
- แผนควบคุมความปลอดภัยเพิ่มเติมก่อนกลับมาเปิดกิจการ
กรณีเช่นนี้ หน่วยงานรัฐจะเข้ามาตรวจสอบอย่างละเอียดเพราะมีผลต่อความปลอดภัยในวงกว้าง
ส่วนที่ 5 เมื่อลูกจ้างเจ็บป่วยหรือได้รับอันตรายตามเกณฑ์กฎหมาย ต้องทำอย่างไร
กลุ่มนี้เป็นเหตุการณ์ที่มักเกิดขึ้นบ่อยในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการ เช่น ลูกจ้างถูกของมีคมบาด ถูกเครื่องจักรหนีบ กระดูกหัก ข้อเคลื่อน หรือเจ็บป่วยจากการสัมผัสสารเคมี เป็นต้น
กฎหมายกำหนดว่าหากลูกจ้าง “บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยรุนแรง” จนไม่สามารถทำงานได้ หรือเข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ เช่น
– ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล
– เจ็บป่วยจากสารเคมีอันตราย
– อาการสาหัสจนแพทย์ต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง
นายจ้างต้อง
- แจ้งอุบัติเหตุทันทีต่อพนักงานตรวจความปลอดภัย
- ทำรายงานส่งสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานภายใน 7 วัน
- แจ้งสำนักงานประกันสังคมเพื่อให้ลูกจ้างได้รับสิทธิเงินทดแทน
ขั้นตอนนี้เป็นข้อบังคับทุกกรณี แม้ลูกจ้างจะไม่เรียกร้องก็ตาม เพราะเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย
ส่วนที่ 6 เอกสารที่ต้องจัดทำเมื่อเกิดเหตุร้ายแรง
นายจ้างต้องจัดเตรียมเอกสารต่อไปนี้ เพื่อรายงานหน่วยงานรัฐและเพื่อใช้ในการตรวจสอบย้อนหลัง
- รายงานอุบัติเหตุ/เหตุการณ์ (Incident Report)
- บันทึกพยานผู้เห็นเหตุการณ์
- ภาพถ่ายสถานที่ เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
- แผนผังการเกิดเหตุ (ถ้ามี)
- รายงานผลการสอบสวนอุบัติเหตุจากคณะกรรมการความปลอดภัย
- หลักฐานการป้องกันและควบคุมความเสี่ยงที่มีอยู่ก่อนเกิดเหตุ
- บันทึกการซ่อมบำรุงเครื่องจักรหรืออุปกรณ์
การมีข้อมูลครบและจัดทำอย่างเป็นระบบ ช่วยลดผลเสียทางกฎหมาย และแสดงถึงความโปร่งใสของนายจ้าง
ส่วนที่ 7 ขั้นตอนการสืบสวนและวิเคราะห์สาเหตุอุบัติเหตุ
หลังจากเกิดเหตุ นายจ้างต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือให้ จป.วิชาชีพเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อวิเคราะห์สาเหตุอย่างเป็นระบบตามหลักการดังนี้
- เก็บข้อมูลจากสถานที่จริง
- สัมภาษณ์ผู้เห็นเหตุการณ์และผู้เกี่ยวข้อง
- ตรวจสอบสภาพเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือ PPE
- วิเคราะห์สาเหตุราก (Root Cause Analysis) เช่น
- การละเลยขั้นตอนความปลอดภัย
- เครื่องจักรชำรุด
- การอบรมไม่เพียงพอ
- การจัดการงานผิดขั้นตอน
5.เสนอแนวทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ
6.รายงานผลต่อผู้บริหารและหน่วยงานรัฐ
การสืบสวนที่ถูกต้องไม่ใช่การหาคนผิด แต่ต้องทำเพื่อแก้ระบบป้องกันให้ดีขึ้น
ส่วนที่ 8 แนวทางป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงซ้ำ
หลังจากเกิดเหตุร้ายแรง กฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยกำหนดให้นายจ้างต้องดำเนินการแก้ไข เช่น
– ตรวจสอบเครื่องจักรทุกจุดที่มีความเสี่ยง
– ทบทวนวิธีปฏิบัติงาน (Work Instruction)
– อบรมทบทวนการทำงานอย่างปลอดภัยให้พนักงาน
– จัดหาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสม
– ติดตั้งระบบป้องกัน เช่น Guard, Sensor, Interlock
– จัดระบบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ในงานเสี่ยงสูง
การแก้ไขต้องเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงคำสั่งทางปาก เพราะเจ้าหน้าที่รัฐจะตรวจสอบซ้ำเพื่อยืนยันว่ามีการปรับปรุงจริง
ส่วนที่ 9 บทลงโทษหากนายจ้างไม่รายงานเหตุ
ตามกฎหมายความปลอดภัยแรงงาน หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ในการรายงานอุบัติเหตุร้ายแรง จะมีโทษสำคัญคือ
– ปรับไม่เกิน 50,000 บาท
ในบางกรณี หากเป็นการละเลยร้ายแรงจนส่งผลให้ลูกจ้างเสียชีวิต อาจเข้าข่ายความผิดทางอาญาเพิ่มเติมด้วย เช่น ประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีโทษจำคุก
ดังนั้น การไม่รายงานถือเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงกว่าที่หลายองค์กรคาดคิด
ส่วนที่ 10 แนวปฏิบัติที่ดีที่นายจ้างควรมีเสมอ
แม้กฎหมายจะกำหนดขั้นตอนชัดเจน แต่เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด นายจ้างควรมีแนวปฏิบัติเพิ่มเติมดังนี้
- จัดทำแผนตอบโต้เหตุฉุกเฉิน (Emergency Plan)
- ฝึกซ้อมเหตุฉุกเฉินเป็นประจำทุกปี
- ตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถังดับเพลิง เครื่องดับเพลิง
- มีระบบรายงานเหตุการณ์เกือบเกิด (Near-Miss) เพื่อป้องกันก่อนเสียหายจริง
- ส่งเสริมให้พนักงานแจ้งเหตุความไม่ปลอดภัยโดยไม่ต้องกลัวถูกลงโทษ
- จัดให้มี จป.วิชาชีพ หรือเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยตามที่กฎหมายกำหนด
- ทบทวนแผนงานความปลอดภัยทุกปี
องค์กรที่มีวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยที่เข้มแข็ง จะสามารถลดอัตราอุบัติเหตุได้อย่างยั่งยืน
สรุป
- นายจ้างต้องรายงานอุบัติเหตุร้ายแรงหรือการเสียชีวิตภายใน 7 วัน
- ต้องแจ้งทันทีทางโทรศัพท์หรือช่องทางเร่งด่วนก่อน
- ต้องร่วมมือกับการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่
- ต้องสืบสวนอุบัติเหตุอย่างเป็นระบบ
- ต้องแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ
- หากไม่ปฏิบัติตามมีโทษปรับสูงสุด 50,000 บาท
ไม่ว่าจะเป็นโรงงานใหญ่หรือธุรกิจขนาดเล็ก ทุกกิจการต้องยึดกฎหมายด้านความปลอดภัยเป็นหัวใจหลัก เพราะความปลอดภัยไม่ใช่แค่ทำเพราะ “ต้องทำ” แต่คือความรับผิดชอบต่อชีวิตของลูกจ้าง และเป็นมาตรฐานความเป็นมืออาชีพที่ทุกองค์กรควรยึดถือ
หากสถานประกอบการใดต้องการอบรมหรือวางระบบความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น อบรม จป., อบรมโฟล์คลิฟท์, อบรมทำงานในที่อับอากาศ หรืออบรมตามกฎหมายอื่น ๆ ควรเลือกสถาบันที่ได้รับการรับรอง เพื่อมั่นใจว่าการดำเนินงานจะถูกต้องตามข้อกำหนดทุกประการ
