หัวหน้างานมืออาชีพ คือ บทบาทที่มีความสำคัญในองค์กร เป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบในการบริหารจัดการและส่งเสริมความเชื่อมั่นและประสิทธิภาพให้กับทีมงานการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นหัวหน้างานมืออาชีพ ไม่เพียงแค่เรียนรู้ทักษะและความรู้ใหม่ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะระดับบุคคลและการเรียนรู้การปรับตัวกับบทบาทใหม่อย่างเหมาะสม เพื่อให้เตรียมความพร้อมสู่การเป็นหัวหน้างานมืออาชีพได้อย่างเหมาะสม
วันนี้ HR-ODTHAI มีคำแนะนำ และสาระดีๆ มานำเสนอเกี่ยวกับแนวทางการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นหัวหน้างานมืออาชีพ
ภาวะผู้นำ คือ
ภาวะผู้นำ คือ ลักษณะและคุณลักษณะที่ทำให้บุคคลมีความสามารถในการส่งเสริมและนำพาผู้อื่นไปสู่วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ ภาวะผู้นำมีลักษณะที่หลากหลายและสามารถแสดงออกในสถานการณ์และบทบาทต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสม โดยผู้นำผู้นำจะมีบทบาท ดังนี้
- กำหนดทิศทางและวิสัยทัศน์ ผู้นำจะต้องกำหนดทิศทางและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนให้กับกลุ่ม เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มเข้าใจและมุ่งมั่นไปในทิศทางเดียวกัน
- สร้างแรงจูงใจ ผู้นำจะต้องสร้างแรงจูงใจให้กับสมาชิกในกลุ่ม ทำให้พวกเขารู้สึกมีส่วนร่วม ทุ่มเท และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- สนับสนุนและส่งเสริม ผู้นำจะต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้สมาชิกในกลุ่มพัฒนาศักยภาพของตนเอง
- ตัดสินใจ ผู้นำจะต้องตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณ
- แก้ปัญหา ผู้นำจะต้องแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
หน้าที่ของผู้นำ เมื่อได้รับตำแหน่งหัวหน้างาน
เมื่อได้รับตำแหน่งหัวหน้างาน หน้าที่ความรับผิดชอบจะเพิ่มมากขึ้น ผู้นำที่ดีจะต้องสามารถบริหารจัดการงาน ดูแลลูกน้อง และขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมาย หน้าที่หลักๆ ของผู้นำเมื่อได้รับตำแหน่งหัวหน้างาน มีดังนี้
1. กำหนดเป้าหมายและทิศทาง
- กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน วัดผลได้ และท้าทาย
- สื่อสารเป้าหมายให้ลูกน้องทุกคนเข้าใจตรงกัน
- กำหนดกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการเพื่อบรรลุเป้าหมาย
- ติดตามผลและประเมินผลการทำงานอย่างสม่ำเสมอ
2. บริหารจัดการงาน
- วางแผนงาน มอบหมายงาน ติดตามผล และประเมินผลงานลูกน้อง
- จัดสรรทรัพยากรต่างๆ เช่น เวลา เงินทุน อุปกรณ์ ให้เพียงพอต่อการทำงาน
- แก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- พัฒนาระบบและกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ
3. ดูแลลูกน้อง
- สร้างแรงจูงใจให้ลูกน้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- พัฒนาทักษะและความรู้ให้กับลูกน้อง
- ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม
- ดูแลสวัสดิการและความเป็นอยู่ของลูกน้อง
- แก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
- สื่อสารกับลูกน้องอย่างสม่ำเสมอ
4. เป็นแบบอย่างที่ดี
- ประพฤติตนอยู่ในกรอบกฎหมาย ระเบียบ และจริยธรรม
- ทำงานอย่างมีวินัย ตรงต่อเวลา และทุ่มเท
- มีความรับผิดชอบต่อผลงานของตนเองและทีม
- ซื่อสัตย์ ยุติธรรม และโปร่งใส
- แต่งกายสุภาพ เรียบร้อย เหมาะสม
5. พัฒนาตนเอง
- เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อยู่เสมอ
- ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับงานและธุรกิจ
- เข้าร่วมอบรมและสัมมนา
- แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้นำคนอื่นๆ
6. สร้างความสัมพันธ์
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา และลูกค้า
- สื่อสารและประสานงานกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ
- ร่วมมือร่วมใจกับผู้อื่นเพื่อบรรลุเป้าหมาย
7. ตัดสินใจ
- วิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ
- พิจารณาผลดีผลเสียของทางเลือกต่างๆ
- ตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ
- รับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของการตัดสินใจ
8. แก้ปัญหา
- ระบุสาเหตุของปัญหา
- หาทางออกที่เป็นไปได้หลายๆ ทางเลือก
- เลือกทางออกที่ดีที่สุด
- นำทางออกไปปฏิบัติ
- ติดตามผลและประเมินผล
9. สร้างสรรค์
- คิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
- หาวิธีการทำงานใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพ
- นำเสนอไอเดียใหม่ๆ
- กล้าเสี่ยง
10. มองการณ์ไกล
- คิดถึงอนาคต วางแผนระยะยาว
- มองหาโอกาสใหม่ๆ
- เตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
การเป็นผู้นำที่ดีนั้น จำเป็นต้องอาศัยทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ ผู้นำที่ดีจะต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ พัฒนาตนเองอยู่เสมอ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น
หัวหน้างานที่จะเป็นผู้นำได้
หัวหน้างาน เปรียบเสมือนฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุเป้าหมาย หน้าที่ความรับผิดชอบของหัวหน้างานนั้นกว้างขวางและท้าทาย จำเป็นต้องอาศัยทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ที่หลากหลาย
หัวหน้างานที่ดี ไม่ได้หมายความว่าต้องมีตำแหน่งสูง หรือมีอำนาจมาก แต่หมายถึง บุคคลที่มีคุณสมบัติ และ ทักษะ ที่จำเป็นในการนำพาทีมงานไปสู่เป้าหมายร่วมกัน
หัวหน้างานที่จะเป็นผู้นำได้ ควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. ทักษะความเป็นผู้นำ
- มีวิสัยทัศน์ กำหนดทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน
- สร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้ลูกน้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- ตัดสินใจ ตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณ
- แก้ปัญหา แก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
- บริหารความขัดแย้ง จัดการความขัดแย้ง การไกล่เกลี่ย และการเจรจาต่อรอง
2. ทักษะการบริหารจัดการ
- วางแผนงาน วางแผนงาน มอบหมายงาน ติดตามผล และประเมินผลงาน
- บริหารทรัพยากร จัดการทรัพยากรต่างๆ เช่น เวลา เงินทุน อุปกรณ์ ให้เพียงพอต่อการทำงาน
- สื่อสาร สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจน เข้าใจง่าย
- บริหารคน สร้างแรงจูงใจ พัฒนาทักษะและความรู้ให้กับลูกน้อง ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ดูแลสวัสดิการและความเป็นอยู่ของลูกน้อง
3. ทักษะอื่นๆ
- จริยธรรม ประพฤติตนอยู่ในกรอบกฎหมาย ระเบียบ และจริยธรรม
- ความรับผิดชอบ รับผิดชอบต่อผลงานของตนเองและทีม
- การเรียนรู้ เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อยู่เสมอ
- ความคิดสร้างสรรค์ คิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
- ความมุ่งมั่น มุ่งมั่นทุ่มเท อดทน ไม่ย่อท้อ
หัวหน้างานที่ดี เปรียบเสมือน โค้ช คอยให้คำปรึกษา สนับสนุน และช่วยให้ลูกน้องพัฒนาศักยภาพของตนเอง
ความแตกต่างระหว่างหัวหน้ากับผู้นำ
หัวหน้า กับ ผู้นำ แม้จะมีความหมายที่ใกล้เคียงกัน แต่มีความแตกต่างกันทั้ง มุมมอง วิธีการ และ ผลลัพธ์ ดังนี้
มุมมอง
- หัวหน้า มุ่งเน้นไปที่ งาน ต้องการให้ลูกน้องทำงานให้เสร็จตามคำสั่ง
- ผู้นำ มุ่งเน้นไปที่ เป้าหมาย ต้องการพาลูกน้องไปสู่เป้าหมายร่วมกัน
วิธีการ
- หัวหน้า ใช้ อำนาจ สั่งการ ควบคุม ลูกน้อง
- ผู้นำ ใช้ อิทธิพล สร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้น ให้ลูกน้องทำงานด้วยความสมัครใจ
ผลลัพธ์
- หัวหน้า ได้รับ ผลงาน ตามที่สั่ง
- ผู้นำ ได้รับ ผลลัพธ์ ที่เหนือกว่าเป้าหมาย
หัวหน้าที่ดี เปรียบเสมือน นายทหาร สั่งการ ควบคุม ให้ทหารทำงานให้บรรลุเป้าหมาย ผู้นำที่ดี เปรียบเสมือน กัปตัน นำทาง สร้างแรงบันดาลใจ ให้ลูกเรือร่วมฝ่าฟันอุปสรรคไปสู่จุดหมายปลายทาง
องค์กรที่ดี ต้องการทั้ง หัวหน้า และ ผู้นำ
- หัวหน้า จำเป็นสำหรับการควบคุมดูแล สั่งการ ให้ลูกน้องทำงานให้เสร็จตามเป้าหมาย
- ผู้นำ จำเป็นสำหรับการสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้น ให้ลูกน้องทำงานด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท
หัวหน้า สามารถพัฒนาตนเองให้เป็น ผู้นำ ได้
- เรียนรู้ทักษะความเป็นผู้นำ
- ฝึกฝนการสื่อสาร
- พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกน้อง
- มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายร่วมกัน
ผู้นำ ที่ดี จะขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จ
เป้าหมายของผู้นำต้อง SMART
เป้าหมายของผู้นำควรเป็น เป้าหมายแบบ SMART ย่อมาจาก Specific (เฉพาะเจาะจง), Measurable (วัดผลได้), Achievable (บรรลุผลได้จริง), Relevant (มีความเกี่ยวข้อง), Time-bound (มีกรอบเวลา)
เหตุผลที่ผู้นำควรตั้งเป้าหมายแบบ SMART
- ชัดเจน เป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้เข้าใจง่าย สื่อสารได้ตรงกัน
- วัดผลได้ เป้าหมายที่วัดผลได้ ช่วยติดตามความคืบหน้า ประเมินผล
- ท้าทายแต่ achievable เป้าหมายที่ท้าทาย กระตุ้นให้พยายาม แต่ achievable ทำให้มั่นใจว่าบรรลุเป้าหมายได้
- มีความเกี่ยวข้อง เป้าหมายที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ ขององค์กร
- มีกรอบเวลา เป้าหมายที่มีกรอบเวลา กำหนดระยะเวลา สร้างความเร่งด่วน
ตัวอย่างเป้าหมายแบบ SMART ของผู้นำ
- เพิ่มยอดขาย 10% ภายใน 6 เดือน: Specific: เพิ่มยอดขาย Measurable: 10% Achievable: ท้าทายแต่ achievable Relevant: สอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร Time-bound: 6 เดือน
- ลดต้นทุนการผลิต 5% ภายใน 1 ปี: Specific: ลดต้นทุนการผลิต Measurable: 5% Achievable: ท้าทายแต่ achievable Relevant: สอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร Time-bound: 1 ปี
- พัฒนาทักษะการสื่อสารให้ดีขึ้น ภายใน 3 เดือน: Specific: พัฒนาทักษะการสื่อสาร Measurable: ดีขึ้น Achievable: ท้าทายแต่ achievable Relevant: จำเป็นสำหรับผู้นำ Time-bound: 3 เดือน
- เพิ่มพูนความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ ภายใน 1 ปี: Specific: เพิ่มพูนความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ Measurable: เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ Achievable: ท้าทายแต่ achievable Relevant: จำเป็นสำหรับผู้นำในยุคดิจิทัล Time-bound: 1 ปี
- สร้างแรงจูงใจให้ลูกน้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ: Specific: สร้างแรงจูงใจให้ลูกน้อง Measurable: ลูกน้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ Achievable: ท้าทายแต่ achievable Relevant: หน้าที่ของผู้นำ Time-bound: ต่อเนื่อง
การตั้งเป้าหมายแบบ SMART เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้นำ ช่วยให้บรรลุเป้าหมาย ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จ
การมอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การมอบหมายงานเป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้นำ ช่วยให้บรรลุเป้าหมาย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างแรงจูงใจให้กับลูกน้อง
หลักการสำคัญของการมอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพ:
1. เลือกคนให้ถูกงาน
- พิจารณาความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ ของลูกน้อง
- เลือกคนที่มีความสามารถเหมาะสมกับงานมากที่สุด
- มองหาวิธีพัฒนาศักยภาพของลูกน้อง
2. กำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- บอกลูกน้องให้เข้าใจว่า ต้องการอะไร
- กำหนดเป้าหมายที่ SMART
- อธิบายผลลัพธ์ที่คาดหวัง
3. แจ้งรายละเอียดของงาน
- อธิบายงานให้ชัดเจน ครบถ้วน
- บอกวิธีการ ขั้นตอน
- ตอบคำถาม ข้อสงสัย
4. มอบอำนาจและความรับผิดชอบ
- ให้ลูกน้องมีอำนาจตัดสินใจ แก้ปัญหา
- รับผิดชอบต่อผลงาน
- สนับสนุน ให้คำปรึกษา
5. ติดตามผลและประเมินผล
- ติดตามความคืบหน้า เป็นระยะ
- ให้คำติชม เสนอแนะ
- ประเมินผลงาน
เทคนิคการมอบหมายงาน
- เทคนิค FACE
- Focus (มุ่งเน้น) อธิบายงานให้ชัดเจน
- Autonomy (อำนาจ) มอบอำนาจให้ตัดสินใจ
- Clarity (ความชัดเจน) ตอบคำถาม ข้อสงสัย
- Engagement (การมีส่วนร่วม) กระตุ้นให้มีส่วนร่วม
- เทคนิค GROW
- Goal (เป้าหมาย) กำหนดเป้าหมายที่ SMART
- Reality (ความเป็นจริง) วิเคราะห์สถานการณ์
- Options (ทางเลือก) ระดมความคิด หาทางเลือก
- Will (ความมุ่งมั่น) วางแผน ลงมือทำ
ข้อควรระวัง
- ไม่มอบหมายงานที่เกินกำลัง
- ไม่มอบหมายงานที่ขาดความท้าทาย
- ไม่มอบหมายงานแบบ micromanage
- ไม่สื่อสารไม่ชัดเจน
- ไม่ติดตามผล
การมอบหมายงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้นำบรรลุเป้าหมาย สร้างแรงจูงใจให้กับลูกน้อง พัฒนาทักษะ และสร้างทีมที่ประสบความสำเร็จ
10 คุณสมบัติหัวหน้างาน
การเป็นหัวหน้างานต้องการคุณสมบัติที่หลากหลายและความสามารถที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและบริบทที่กำลังพบเจอ อย่างไรก็ตาม มีคุณสมบัติที่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหัวหน้างานอย่างต่อเนื่อง
- มีวิสัยทัศน์ ความสามารถในการมองเห็นและวางแผนสำหรับอนาคตของทีมหรือองค์กร และสามารถแบ่งปันวิสัยทัศน์นั้นให้กับผู้อื่นได้อย่างชัดเจน
- การสื่อสารเป็นอย่างดี สามารถสื่อสารอย่างชัดเจนและเป็นกลางให้กับทีม โดยการใช้ทักษะการพูด การเขียน และการฟัง
- ความเชื่อมั่น มีความมั่นใจในตนเองและในทีมงาน สามารถแสดงความเชื่อมั่นนี้ให้ผู้อื่นเห็นและมั่นใจในการตามหลัง
- ความชำนาญในงาน มีความเชี่ยวชาญและความรู้ในงานที่กำลังดำเนินอยู่ และสามารถให้คำแนะนำและความช่วยเหลือให้แก่ทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ความสามารถในการจัดการเวลา สามารถจัดการเวลาและทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้งานดำเนินไปได้ตามเป้าหมาย
- การเลี้ยงผู้นำ สามารถสร้างและเลี้ยงผู้นำที่มีความสามารถในทีม และส่งเสริมพัฒนาความสามารถของพวกเขาในงาน
- การสร้างทีม มีความสามารถในการสร้างทีมที่มีความเชี่ยวชาญและมีสมรรถนะที่ต้องการ เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การแก้ไขปัญหามีความสามารถในการตีความและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการดำเนินงาน และใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อหาทางออก
- ความเป็นผู้สัมพันธ์ สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสร้างสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้ทีมงานร่วมกันได้
- ความรับผิดชอบ มีความรับผิดชอบในผลลัพธ์ของงานและทีมงาน และเต็มใจรับผิดชอบทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวของทีม
สรุป
การเตรียมความพร้อมสู่การเป็นหัวหน้างานมืออาชีพเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายามในการพัฒนาทักษะและคุณลักษณะที่จำเป็น ผู้ที่ต้องการเป็นหัวหน้างานมืออาชีพจะมีโอกาสสูงในการประสบความสำเร็จในบทบาทใหม่ของตน และสามารถนำทีมไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้อย่างมั่นคง