บทความ

การพัฒนาทักษะหัวหน้างาน (Supervisory Skill Development )

การพัฒนาทักษะหัวหน้างาน (Supervisory Skill Development )

การพัฒนาทักษะหัวหน้างาน (Supervisory Skill Development )

การพัฒนาทักษะหัวหน้างาน คือ กระบวนการที่มุ่งเน้นการพัฒนาความรู้ ทักษะ และทัศนคติของบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งหัวหน้างาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการบริหารจัดการทีมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น

ทำไมการพัฒนาทักษะหัวหน้างานจึงสำคัญ?

ทำไมการพัฒนาทักษะหัวหน้างานจึงสำคัญ?

ทำไมการพัฒนาทักษะหัวหน้างานจึงสำคัญ?

  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน หัวหน้างานที่มีทักษะจะสามารถวางแผน กำหนดเป้าหมาย และมอบหมายงานให้กับลูกน้องได้อย่างชัดเจน ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและบรรลุเป้าหมายได้ตามที่ตั้งไว้
  • สร้างความพึงพอใจให้กับลูกน้อง หัวหน้างานที่ดีจะสามารถสร้างแรงจูงใจ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้อง และพัฒนาทีมงานให้เติบโตได้
  • เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร ทีมงานที่มีหัวหน้างานที่มีความสามารถจะสามารถสร้างผลงานที่เป็นที่ยอมรับและสร้างความแตกต่างให้กับองค์กรได้

การพัฒนาทักษะหัวหน้างานสามารถทำได้อย่างไร?

การพัฒนาทักษะหัวหน้างานเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ มีหลายวิธีที่คุณสามารถนำมาปรับใช้เพื่อพัฒนาตนเองได้ ดังนี้

การพัฒนาทักษะหัวหน้างานสามารถทำได้อย่างไร?

การพัฒนาทักษะหัวหน้างานสามารถทำได้อย่างไร?

  • การอบรม การเข้าร่วมอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวกับการเป็นหัวหน้างาน คลิกที่นี่เพื่ออบรม
  • การโค้ช การได้รับคำแนะนำและการโค้ชจากผู้ที่มีประสบการณ์
  • การเรียนรู้ด้วยตนเอง การอ่านหนังสือ ศึกษาข้อมูล หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
  • การปฏิบัติจริง การนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานจริง

ความแตกต่างระหว่างผู้นำกับความเป็นผู้นำ เข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หลายคนอาจจะสับสนระหว่างคำว่า "ผู้นำ" กับ "ความเป็นผู้นำ" ทั้งสองคำมีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ลองมาทำความเข้าใจกันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นนะคะ

ความแตกต่างระหว่างผู้นำกับความเป็นผู้นำ

ความแตกต่างระหว่างผู้นำกับความเป็นผู้นำ

ผู้นำ (Leader) คืออะไร?

  • บุคคล ผู้นำคือบุคคลหนึ่งที่อยู่ในตำแหน่งหรือมีอิทธิพลต่อผู้อื่น
  • บทบาท มีหน้าที่ในการชี้นำ กำกับดูแล และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
  • คุณสมบัติ ผู้นำที่ดีมักจะมีคุณสมบัติ เช่น ความสามารถในการสื่อสาร การแก้ปัญหา การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

ความเป็นผู้นำ (Leadership) คืออะไร?

  • กระบวนการ ความเป็นผู้นำเป็นกระบวนการที่ผู้นำใช้ในการนำพาทีมหรือองค์กรไปสู่ความสำเร็จ
  • คุณสมบัติ เกี่ยวข้องกับทักษะและพฤติกรรมที่ผู้นำนำมาใช้ในการสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความมั่นใจ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี
  • ผลลัพธ์ เป้าหมายของความเป็นผู้นำคือการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น การบรรลุเป้าหมายองค์กร การพัฒนาทีมงาน และการสร้างการเปลี่ยนแปลง

ยกตัวอย่าง ผู้นำกับความเป็นผู้นำ

  • ผู้นำ คุณเก่งเป็นหัวหน้าทีมฝ่ายขาย เขาเป็นคนที่มีความมั่นใจในการทำงานและสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมได้เป็นอย่างดี
  • ความเป็นผู้นำ วิธีการที่คุณเก่งใช้ในการนำทีม เช่น การจัดประชุมทีมเป็นประจำ การให้คำแนะนำและกำลังใจแก่ลูกน้อง การสร้างเป้าหมายร่วมกัน และการเฉลิมฉลองความสำเร็จของทีม
ทั้งผู้นำและความเป็นผู้นำมีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร การที่เราเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสองอย่าง จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาตนเองและองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ผู้นำเชิงกลยุทธ์กับความฉลาดทางอารมณ์ ความเชื่อมโยงที่สำคัญ

ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence หรือ EI) นั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้นำสามารถนำพาทีมไปสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ความซับซ้อนของปัญหาและความคาดหวังของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ผู้นำเชิงกลยุทธ์กับความฉลาดทางอารมณ์

ผู้นำเชิงกลยุทธ์กับความฉลาดทางอารมณ์

ความฉลาดทางอารมณ์ ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 4 ด้าน ได้แก่

  • การรู้จักตนเอง (Self-awareness) ความสามารถในการเข้าใจอารมณ์และแรงผลักดันของตนเอง รวมถึงจุดแข็ง จุดอ่อน และผลกระทบที่ตนเองมีต่อผู้อื่น
  • การควบคุมตนเอง (Self-regulation) ความสามารถในการควบคุมหรือเปลี่ยนทิศทางอารมณ์ที่ขุ่นมัว คิดก่อนทำ และแสดงออกอย่างเหมาะสม
  • แรงจูงใจ (Motivation) ความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย และความสามารถในการสร้างแรงจูงใจให้ตนเองและผู้อื่น
  • การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Empathy) ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกและความเห็นของผู้อื่น และคำนึงถึงสิ่งนี้เมื่อตัดสินใจ

ความเชื่อมโยงระหว่างผู้นำเชิงกลยุทธ์กับความฉลาดทางอารมณ์

ผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ วางแผน และมองเห็นภาพรวมขององค์กรในระยะยาว แต่ทักษะเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ พวกเขายังต้องมีความฉลาดทางอารมณ์สูง เพื่อที่จะ:

  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทีม การรู้จักตนเองและผู้อื่น จะช่วยให้ผู้นำสามารถสร้างความเชื่อมโยงกับสมาชิกในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างแรงจูงใจให้ทีม ผู้นำที่เข้าใจแรงจูงใจของแต่ละคน จะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อการเติบโตและพัฒนาของทีมได้
  • จัดการความขัดแย้ง การมีอารมณ์ที่มั่นคง และความสามารถในการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น จะช่วยให้ผู้นำสามารถจัดการกับความขัดแย้งได้อย่างสร้างสรรค์
  • ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง ในสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้นำที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูง จะสามารถปรับตัวและนำทีมก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ได้

ตัวอย่างการนำความฉลาดทางอารมณ์ไปใช้ในภาวะผู้นำ

  • เมื่อเผชิญกับความล้มเหลว ผู้นำที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูงจะไม่โทษผู้อื่น แต่จะมองหาสาเหตุของปัญหาและเรียนรู้จากความผิดพลาด
  • ในการตัดสินใจที่สำคัญ ผู้นำจะพิจารณาถึงผลกระทบที่การตัดสินใจของตนจะมีต่อผู้อื่น และเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
  • ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ผู้นำจะสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร สนับสนุนการทำงานเป็นทีม และส่งเสริมให้พนักงานได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่
ความฉลาดทางอารมณ์เป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้นำในทุกระดับ เพราะมันช่วยให้ผู้นำสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น สร้างแรงบันดาลใจให้ทีม และนำพาทีมไปสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน ผู้นำที่ต้องการพัฒนาตนเอง ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ควบคู่ไปกับทักษะอื่นๆ เช่น การวางแผน การแก้ปัญหา และการตัดสินใจ

การพัฒนาทักษะหัวหน้างาน ที่ประสบความสำเร็จ

การพัฒนาทักษะหัวหน้างานยังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจและสำคัญต่อการเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ดังนี้

1. ความสำคัญของการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

  • การเรียนรู้ตลอดชีวิต โลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หัวหน้างานต้องเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
  • การสร้างแรงบันดาลใจให้ตนเอง การตั้งเป้าหมายส่วนตัวและการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกน้อง
  • การแสวงหาความรู้ใหม่ๆ สามารถทำได้ผ่านการอ่านหนังสือ เข้าร่วมสัมมนา หรือเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ

2. การสร้างวัฒนธรรมองค์กร

  • การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร สนับสนุนการทำงานเป็นทีม และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
  • การสร้างค่านิยมร่วม สร้างค่านิยมที่ชัดเจนและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร
  • การสื่อสารที่โปร่งใส สื่อสารกับลูกน้องอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา

3. การจัดการความขัดแย้ง

  • การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง
  • การแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ หาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
  • การรักษาความสัมพันธ์ที่ดี แม้จะมีความขัดแย้งก็ตาม

4. การให้คำติชมและกำลังใจ

  • การให้คำติชมที่สร้างสรรค์ ช่วยให้ลูกน้องได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง
  • การให้กำลังใจ ช่วยเพิ่มขวัญและกำลังใจให้กับลูกน้อง
  • การสร้างสมดุล ทั้งคำติชมและกำลังใจมีความสำคัญเท่าเทียมกัน

5. การพัฒนาลูกน้อง

  • การมอบหมายงานที่ท้าทาย ช่วยให้ลูกน้องได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง
  • การให้โอกาสในการเติบโต สนับสนุนให้ลูกน้องเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์
  • การเป็นโค้ช ให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่ลูกน้อง

6. การใช้เทคโนโลยี

  • การใช้เครื่องมือดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
  • การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หัวหน้างานต้องปรับตัวให้ทัน

7. การดูแลสุขภาพจิต

  • การดูแลสุขภาพกาย การออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ
  • การจัดการความเครียด การทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
  • การขอความช่วยเหลือ เมื่อรู้สึกว่ารับมือไม่ไหว

นอกจากนี้ หัวหน้างานยังควรพัฒนาทักษะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น

  • ทักษะการนำเสนอ
  • ทักษะการเจรจาต่อรอง
  • ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์
  • ทักษะการบริหารเวลา
การพัฒนาทักษะหัวหน้างานเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ผลตอบแทนที่ได้คือทีมงานที่มีประสิทธิภาพและองค์กรที่ประสบความสำเร็จ

เครื่องมือที่ช่วยให้ หัวหน้างาน ควบคุมงานให้ได้ผลงานและสำเร็จตามแผนและเป้าหมาย (PLOMC)

"วัฏจักรการบริหารจัดการโครงการ" หรือที่เรียกว่า "PLOMC" (อ่านว่า พี-แอล-โอ-เอ็ม-ซี) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวางแผน ควบคุม และติดตามผลการดำเนินงานของโครงการต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้

"วัฏจักรการบริหารจัดการโครงการ" หรือที่เรียกว่า "PLOMC"

"วัฏจักรการบริหารจัดการโครงการ" หรือที่เรียกว่า "PLOMC"

PLOMC ย่อมาจาก

  • P - Planning (การวางแผน) เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด คือ การวางแผนงานทั้งหมด โดยเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน กำหนดขอบเขตของงาน กำหนดระยะเวลา และจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็น
  • L - Leading (การนำ) เมื่อมีแผนงานแล้ว ก็ต้องมีผู้นำทีมในการขับเคลื่อนให้แผนงานนั้นเป็นไปตามเป้าหมาย ผู้นำจะต้องมีทักษะในการสื่อสาร การสร้างแรงจูงใจ และการแก้ไขปัญหา
  • O - Organizing (การจัดองค์กร) คือการจัดโครงสร้างงาน แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้กับแต่ละคน หรือแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • M - Monitoring (การติดตาม) เป็นการติดตามความคืบหน้าของงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้ หากพบปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ ก็จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที
  • C - Controlling (การควบคุม) คือการควบคุมคุณภาพของงานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ และการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินงาน

ความสำคัญของ PLOMC

  • ช่วยให้การทำงานเป็นระบบ PLOMC ช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมีระบบ มีขั้นตอนที่ชัดเจน ทำให้ทุกคนในทีมเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตนเอง
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การวางแผนที่ดีและการติดตามผลอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ลดความเสี่ยง การวางแผนล่วงหน้าและการควบคุมคุณภาพ จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดหรือการล่าช้าในการทำงาน
  • บรรลุเป้าหมาย การใช้ PLOMC จะช่วยให้โครงการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
PLOMC เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการบริหารจัดการโครงการให้สำเร็จลุล่วง การนำหลักการของ PLOMC ไปใช้จะช่วยให้คุณสามารถวางแผน ควบคุม และติดตามผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ในที่สุด

การปรับ Mindset และกรอบความคิดของหัวหน้างาน

การปรับ Mindset และกรอบความคิดของหัวหน้างาน

การปรับ Mindset และกรอบความคิดของหัวหน้างาน

ตารางนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน และนำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น โดยแบ่งเป็น 3 คอลัมน์หลัก

  1. ปัญหา ระบุปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น งานเยอะ งานยาก
  2. มุมมองเชิงลบ แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มักเกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับปัญหา เช่น คิดว่างานเยอะเกินไป ทำไม่ไหว
  3. การปรับเปลี่ยนมุมมอง เสนอแนวทางในการปรับเปลี่ยนมุมมองเป็นไปในทางบวก เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น มองว่างานเยอะเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ตารางนี้เป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ในการช่วยให้เราพัฒนาความคิดเชิงบวกและเรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำแนวคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้เรามีความสุขและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

บทบาท Team Coaching ของหัวหน้างาน

บทบาท Team Coaching ของหัวหน้างานนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแค่การมอบหมายงานและติดตามผลงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาศักยภาพของทีมให้เติบโตไปพร้อมกันอีกด้วย หัวหน้างานที่ทำหน้าที่เป็นโค้ชจะช่วยให้ทีมงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความสุขกับการทำงาน และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง

ทำไมหัวหน้างานต้องเป็นโค้ช?

  • พัฒนาทีมให้มีประสิทธิภาพ: การโค้ชช่วยให้สมาชิกในทีมได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ พัฒนาศักยภาพ และทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นผ
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีม: การโค้ชช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหัวหน้างานกับสมาชิกในทีม และระหว่างสมาชิกในทีมด้วยกันเอง
  • เพิ่มขวัญและกำลังใจ: การให้กำลังใจและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ จะช่วยเพิ่มขวัญและกำลังใจให้กับสมาชิกในทีม
  • ลดการหมุนเวียนของบุคลากร: เมื่อสมาชิกในทีมมีความสุขกับการทำงานและรู้สึกว่าได้รับการพัฒนา ก็จะลดโอกาสในการลาออกไปทำงานที่อื่น

บทบาทของหัวหน้างานในฐานะโค้ช

  • เป็นผู้ฟังที่ดี: ฟังปัญหาและความคิดเห็นของสมาชิกในทีมอย่างตั้งใจ
  • ให้คำแนะนำและคำปรึกษา: ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ช่วยให้สมาชิกในทีมแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง
  • เป็นแบบอย่างที่ดี: แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่เป็นที่ต้องการ เช่น การทำงานหนัก ความซื่อสัตย์ และความรับผิดชอบ
  • ส่งเสริมการเรียนรู้: สร้างโอกาสให้สมาชิกในทีมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาตนเอง
  • ให้กำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจ: ให้กำลังใจเมื่อสมาชิกในทีมประสบความสำเร็จ และให้คำแนะนำเมื่อสมาชิกในทีมเผชิญกับความยากลำบาก

ทักษะที่สำคัญของโค้ช

  • ทักษะการสื่อสาร: สื่อสารได้อย่างชัดเจน เข้าใจง่าย และสร้างแรงบันดาลใจ
  • ทักษะการฟัง: ฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างตั้งใจ
  • ทักษะการตั้งคำถาม: ตั้งคำถามที่กระตุ้นให้สมาชิกในทีมคิดและค้นหาคำตอบด้วยตนเอง
  • ทักษะการให้คำติชม: ให้คำติชมที่สร้างสรรค์ ช่วยให้สมาชิกในทีมปรับปรุงตนเองได้
  • ทักษะการสร้างความสัมพันธ์: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสมาชิกในทีม

ประโยชน์ที่ได้จากการเป็นโค้ช

  • ทีมงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น: สมาชิกในทีมทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง
  • เพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน: สมาชิกในทีมมีความสุขกับการทำงานและรู้สึกว่าได้รับการพัฒนา
  • ลดการหมุนเวียนของบุคลากร: สมาชิกในทีมมีความผูกพันกับองค์กรมากขึ้น
  • เพิ่มผลผลิตขององค์กร: ทีมงานที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลให้ผลผลิตขององค์กรเพิ่มขึ้น
บทบาทของหัวหน้างานในฐานะโค้ช นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาทีมให้แข็งแกร่งและบรรลุเป้าหมายร่วมกัน การลงทุนในการพัฒนาทักษะการโค้ช จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะจะส่งผลดีต่อทั้งตัวหัวหน้างานเอง ทีมงาน และองค์กรในระยะยาว

สรุป

การพัฒนาทักษะหัวหน้างาน เป็นเรื่องสำคัญที่องค์กรควรให้ความสำคัญ เพราะหัวหน้างานที่ดีเป็นทรัพยากรที่มีค่า และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้ไปสู่ความสำเร็จ

Topprofessional And Development

สถาบันฝึกอบรมและที่ปรึกษาทางด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์และองค์กร บริการให้คำปรึกษาด้านระบบ ISO แบบครบวงจรด้วยหลักสูตรคุณภาพอาจารย์ผู้สอนมากด้วยประสบการณ์

วันทำการ ( จันทร์ - เสาร์ เวลา 8:00 - 17:00 น. )

ติดตามเรา

icon-facebookicon-lineicon-youtubeicon-tiktok
Copyright 2023 © HERMES Digital Marketing . All Rights Reserved