การปรับ Mindset เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมในการทำงานเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากมันสามารถช่วยให้คุณพัฒนาตัวเองและประสบความสำเร็จในการทำงานได้มากขึ้น
ในยุคสมัยที่ความสามารถในการปรับตัว และการเรียนรู้มีความสำคัญมากขึ้นในการทำงาน เรากำลังเห็นความสำคัญของการปรับ Mindset เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
การมี Mindset ที่เหมาะสมสำหรับการทำงานเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อผลการดำเนินงานและความสำเร็จในองค์กร บทความนี้ HR-ODTHAI จะพาทุกท่านสำรวจแนวคิดและกลไกที่สำคัญเพื่อปรับ Mindset ในการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในการทำงานของทุกคน
ความหมายของ Mindset
Mindset หรือ กรอบความคิด หมายถึง ความเชื่อพื้นฐานที่มีผลต่อพฤติกรรม ความคิด และทัศนคติของเราต่อสิ่งต่างๆ เปรียบเสมือนกรอบที่เราใช้ตีความและประมวลผลข้อมูลรอบตัว
ความสำคัญของ mindset
Mindset หรือ กรอบความคิด มีความสำคัญต่อชีวิตของเราอย่างมาก เพราะว่ามีผลต่อพฤติกรรม ความคิด และทัศนคติของเราต่อสิ่งต่างๆ เปรียบเสมือนกรอบที่เราใช้ตีความและประมวลผลข้อมูลรอบตัว
Mindset มี 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
Mindset มี 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้
- Fixed Mindset (กรอบความคิดแบบตายตัว) เชื่อว่าความสามารถและพรสวรรค์เป็นสิ่งที่กำหนดมาแต่กำเนิด เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มักจะท้อแท้เมื่อเจออุปสรรค หลีกเลี่ยงความท้าทาย
- Growth Mindset (กรอบความคิดแบบเติบโต) เชื่อว่าความสามารถและพรสวรรค์สามารถพัฒนาได้ด้วยความพยายามและการเรียนรู้ มักจะเปิดรับความท้าทาย มุ่งมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
เทคนิคการสร้าง Mindset เพื่อสร้างความสำเร็จในการทำงาน
1. ปรับ Mindset จาก Fixed Mindset ไปเป็น Growth Mindset
- Fixed Mindset: เชื่อว่าความสามารถและพรสวรรค์เป็นสิ่งที่กำหนดมาแต่กำเนิด เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มักจะท้อแท้เมื่อเจออุปสรรค หลีกเลี่ยงความท้าทาย
- Growth Mindset: เชื่อว่าความสามารถและพรสวรรค์สามารถพัฒนาได้ด้วยความพยายามและการเรียนรู้ มักจะเปิดรับความท้าทาย มุ่งมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
วิธีปรับ Mindset ไปเป็น Growth Mindset
- เปลี่ยนมุมมอง: มองความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้
- ตั้งเป้าหมาย: ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย
- มุ่งมั่น: พยายามอย่างเต็มที่
- อดทน: ยอมรับว่าการพัฒนาต้องใช้เวลา
- มองโลกในแง่ดี: มองหาแง่ดีในทุกสถานการณ์
- เรียนรู้จากผู้อื่น: หาคนที่ประสบความสำเร็จและเรียนรู้จากพวกเขา
2. ฝึกฝนการคิดบวก
- การคิดบวก ช่วยให้เรามีความมั่นใจ มองโลกในแง่ดี
- เมื่อเราคิดบวก สมองจะหลั่งสารเคมีที่ทำให้เรามีความสุข
- ความสุขจะช่วยให้เรามีพลังงาน ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีฝึกฝนการคิดบวก
- โฟกัสที่สิ่งดีๆ: จดบันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
- มองหาแง่ดีในทุกสถานการณ์: แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ก็ต้องพยายามมองหาแง่ดี
- พูดคุยกับคนที่คิดบวก: พูดคุยกับคนที่มองโลกในแง่ดี จะช่วยให้เรามีความคิดบวกมากขึ้น
3. ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย
- เป้าหมายที่ท้าทาย จะช่วยให้เรามีแรงจูงใจ
- เมื่อเราบรรลุเป้าหมาย จะช่วยให้เรามีความมั่นใจ
- ความมั่นใจจะช่วยให้เราก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
วิธีตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย
- ตั้งเป้าหมาย SMART: เป้าหมาย SMART ต้องการ Specific (เฉพาะเจาะจง) Measurable (วัดผลได้) Achievable (บรรลุได้) Relevant (เกี่ยวข้อง) และ Time-bound (มีกรอบเวลา)
- แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อย: เป้าหมายย่อยจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจ
- ตั้งรางวัลให้ตัวเอง: เมื่อเราบรรลุเป้าหมายย่อย ควรตั้งรางวัลให้ตัวเอง
4. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
- การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้เรามีทักษะใหม่
- ทักษะใหม่จะช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์
วิธีเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
- อ่านหนังสือ: อ่านหนังสือเกี่ยวกับงาน
- เข้าร่วมอบรมหรือสัมมนา: เข้าร่วมอบรมหรือสัมมนาเกี่ยวกับงาน
- พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ: พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในงาน
5. อดทนและมุ่งมั่น
- ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน
- เราต้องอดทนและมุ่งมั่น พยายามอย่างเต็มที่
- เมื่อเราเผชิญกับอุปสรรค เราต้องไม่ท้อแท้
ปัญหาของบุคลากรแบบ Fixed Mindset
บุคลากรที่มีแนวคิดแบบ Fixed Mindset อาจต้องเผชิญกับหลายปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานและความสำเร็จขององค์กร ดังนี้
1. กลัวความล้มเหลว
- คิดว่าความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ไม่ดี
- กลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์
- หลีกเลี่ยงความท้าทาย
- ไม่กล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ
2. ขาดความมั่นใจ
- ไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง
- คิดว่าตัวเองไม่เก่ง
- ท้อแท้ easily
- ยอมแพ้ easily
3. ไม่ยืดหยุ่น
- ยึดติดกับวิธีคิดเดิมๆ
- ไม่เปิดรับความคิดใหม่ๆ
- ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้
4. ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น
- กลัวว่าความคิดเห็นของตัวเองจะผิด
- กลัวว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์
- เก็บความคิดไว้คนเดียว
5. ไม่กล้านำเสนอสิ่งใหม่ๆ
- กลัวว่าจะล้มเหลว
- กลัวว่าจะถูกปฏิเสธ
- ขาดความคิดสร้างสรรค์
6. ไม่รับฟังคำติชม
- คิดว่าคำติชมเป็นการโจมตี
- รู้สึกโกรธเคือง
- ไม่สามารถนำคำติชมมาพัฒนาตัวเองได้
7. ไม่ชอบการทำงานเป็นทีม
- คิดว่าตัวเองสามารถทำงานคนเดียวได้
- ไม่เชื่อใจผู้อื่น
- ไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8. ไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
- คิดว่าตัวเองรู้มากพอแล้ว
- ไม่เปิดรับความรู้ใหม่ๆ
- ทักษะล้าสมัย
9. ไม่มุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง
- คิดว่าตัวเองไม่มีศักยภาพ
- ไม่พยายามพัฒนาตัวเอง
- ไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
10. ไม่มีความสุขกับการทำงาน
- รู้สึกเครียด
- รู้สึกกดดัน
- รู้สึกเบื่อหน่าย
- หมดไฟในการทำงาน
ปัญหาเหล่านี้ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความสำเร็จในหน้าที่การงาน และความสุขในการทำงาน
องค์ประกอบที่ทำให้พนักงานรู้สึกเกิดความรักในการทำงาน
จากผลการวิจัยและศึกษา พบว่าองค์ประกอบหลักๆ ที่ทำให้พนักงานรู้สึกเกิดความรักในการทำงาน มีดังนี้
1. สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี
- สถานที่ทำงานสะอาด ปลอดภัย และสะดวกสบาย
- บรรยากาศการทำงานที่ดี มีมิตรภาพ
- เพื่อนร่วมงานดี เข้ากันได้
- หัวหน้าที่ดี เข้าใจ ใส่ใจ
- วัฒนธรรมองค์กรดี ส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วม
2. งานที่ท้าทายและมีความหมาย
- พนักงานรู้สึกว่างานที่ทำนั้นมีความสำคัญ
- พนักงานรู้สึกว่างานที่ทำนั้นท้าทาย
- พนักงานรู้สึกว่างานที่ทำนั้นมีโอกาสพัฒนา
- พนักงานรู้สึกว่างานที่ทำนั้นสอดคล้องกับความสนใจและทักษะ
3. โอกาสในการเติบโตและพัฒนา
- พนักงานมีโอกาสเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
- พนักงานมีโอกาสพัฒนาทักษะ
- พนักงานมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
- องค์กรสนับสนุนให้พนักงานพัฒนาตนเอง
4. การได้รับการยอมรับและชื่นชม
- พนักงานรู้สึกว่างานที่ทำนั้นได้รับการยอมรับ
- พนักงานรู้สึกว่างานที่ทำนั้นได้รับการชื่นชม
- องค์กรมีระบบการให้รางวัลที่ชัดเจน
- หัวหน้าให้คำชมและให้กำลังใจ
5. ความมั่นคงในงาน
- พนักงานรู้สึกมั่นคงในงาน
- พนักงานไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกเลิกจ้าง
- องค์กรมีสวัสดิการที่ดี
- องค์กรมีระบบประกันสังคม
6. ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
- พนักงานมีเวลาให้กับครอบครัว
- พนักงานมีเวลาพักผ่อน
- องค์กรสนับสนุนให้พนักงานมีสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
7. ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
- พนักงานรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
- พนักงานรู้สึกว่าองค์กรเหมือนครอบครัว
- องค์กรส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วม
- องค์กรให้ความสำคัญกับพนักงาน
องค์กรที่มุ่งมั่นสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี จะช่วยให้พนักงานมีความสุขกับการทำงาน ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และอยู่กับองค์กรระยะยาว
แนวทางการสร้าง Passion สู่ความสำเร็จในการทำงาน
แนวทางการสร้าง Passion สู่ความสำเร็จในการทำงาน มีดังนี้
1. ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบ
- อะไรคือสิ่งที่เราชอบทำ
- อะไรคือสิ่งที่เราสนใจ
- อะไรคือสิ่งที่เราเก่ง
2. ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย
- ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย
- ตั้งเป้าหมายที่ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound)
- ตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกับความชอบและทักษะ
3. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
- เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ
- เรียนรู้เกี่ยวกับงาน
- เรียนรู้จากผู้อื่น
4. มุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง
- พัฒนาทักษะ
- พัฒนาความรู้
- พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
5. มองโลกในแง่ดี
- คิดบวก
- มองหาแง่ดี
- ไม่ท้อแท้
6. อดทน
- ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน
- ต้องอดทน
- พยายามอย่างเต็มที่
7. หาแรงบันดาลใจ
- หาแรงบันดาลใจจากผู้อื่น
- หาแรงบันดาลใจจากหนังสือ
- หาแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์
8. รางวัลตัวเอง
- เมื่อบรรลุเป้าหมาย ให้รางวัลตัวเอง
- สร้างแรงจูงใจ
- ทำงานอย่างมีความสุข
9. ดูแลสุขภาพ
- ทานอาหารที่ดี
- ออกกำลังกาย
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี
10. รักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
- หาเวลาให้กับครอบครัว
- หาเวลาพักผ่อน
- หาเวลาทำกิจกรรมที่ชอบ
แบบจำลอง S M C R
แบบจำลอง S M C R หรือ แบบจำลองผู้ส่ง–ข้อความ–ช่อง–ผู้รับ พัฒนาโดย เดวิด เค. เบอร์โล (David K. Berlo) ในปี พ.ศ. 2503 ใช้เพื่ออธิบายกระบวนการสื่อสาร โดยแบ่งองค์ประกอบหลักของการสื่อสารออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
1. ผู้ส่ง (Sender หรือ S)
- หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เป็นผู้ริเริ่มการสื่อสาร
- มีหน้าที่ในการเข้ารหัสข้อความ
- ต้องการสื่อสารสิ่งใดบางอย่าง
- ต้องการให้ผู้รับเข้าใจ
2. ข้อความ (Message หรือ M)
- หมายถึง ข้อมูล ความคิด ความรู้สึก หรือประสบการณ์ ที่ผู้ส่งต้องการสื่อสาร
- ข้อความอาจอยู่ในรูปแบบของคำพูด ตัวอักษร ภาพ สัญลักษณ์ หรือสื่ออื่นๆ
- ข้อความต้องชัดเจน กระชับ เข้าใจง่าย
3. ช่องทางการสื่อสาร (Channel หรือ C)
- หมายถึง สื่อหรือวิธีการที่ผู้ส่งใช้ส่งข้อความไปยังผู้รับ
- ช่องทางการสื่อสารอาจเป็นแบบตัวต่อตัว ทางโทรศัพท์ ทางจดหมาย ทางอีเมล ทางโซเชียลมีเดีย หรือสื่ออื่นๆ
- ผู้ส่งต้องเลือกช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมกับข้อความและผู้รับ
4. ผู้รับ (Receiver หรือ R)
- หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เป็นผู้รับข้อความ
- มีหน้าที่ในการถอดรหัสข้อความ
- ต้องการเข้าใจข้อความที่ผู้ส่งต้องการสื่อสาร
- ปัจจัยต่างๆ เช่น ความรู้ ประสบการณ์ วัฒนธรรม และอคติ ของผู้รับ จะส่งผลต่อการตีความข้อความ
องค์ประกอบทั้ง 4 ส่วนนี้ มีความสัมพันธ์กัน ดังนี้
- ผู้ส่งต้องเข้าใจผู้รับ เพื่อส่งข้อความที่เหมาะสม
- ผู้ส่งต้องเลือกช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมกับข้อความและผู้รับ
- ข้อความต้องชัดเจน กระชับ เข้าใจง่าย
- ผู้รับต้องตั้งใจฟัง ตั้งใจอ่าน ตั้งใจดู เพื่อเข้าใจข้อความที่ผู้ส่งต้องการสื่อสาร
สรุป
การปรับ Mindset เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมในการทำงาน (Mindset for Performance Working) เป็นกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนาตนเองและให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในการทำงาน โดยการมองเห็นทุกสถานการณ์เป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองจะช่วยให้เราเติบโตและประสบความสำเร็จในทางอาชีพอย่างยั่งยืน