การบริหารคณะกรรมการสวัสดิการ (Welfare Committee Management) เป็นกระบวนการที่สำคัญในองค์กรหรือองค์กรภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้มีการจัดการกิจกรรมและโครงการที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการของพนักงานหรือสมาชิกในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ
บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการสวัสดิการ (Welfare Committee)
- จัดทำแผนสวัสดิการ วิเคราะห์ความต้องการของพนักงาน ศึกษาความเป็นไปได้ของงบประมาณ เสนอแผนสวัสดิการที่ตรงกับความต้องการของพนักงานและองค์กร
- บริหารจัดการสวัสดิการ ควบคุมดูแลการจัดสวัสดิการให้เป็นไปตามระเบียบและแผนงาน ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล บริหารจัดการงบประมาณ
- ติดตามผลและประเมินผล เก็บข้อมูลการใช้สวัสดิการ วิเคราะห์ความพึงพอใจของพนักงาน นำเสนอผลการดำเนินงาน เสนอแนะแนวทางการพัฒนา
- ประสานงาน ทำงานร่วมกับฝ่ายบริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนพนักงาน
- สื่อสาร แจ้งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสวัสดิการให้พนักงานทราบอย่างทั่วถึง
สวัสดิการตามกฎหมายแรงงาน
กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. 2548
กฎกระทรวงฉบับนี้ ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ
สาระสำคัญ ของ กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. 2548
สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป มีหน้าที่จัดให้มีสวัสดิการ ดังนี้
- เวชภัณฑ์ ยา และอุปกรณ์สำหรับปฐมพยาบาล
- น้ำดื่ม
- ห้องน้ำ
- ห้องส้วม
- สถานที่พักผ่อน
- แสงสว่าง
- อากาศถ่ายเท
- อุณหภูมิที่เหมาะสม
- เสียงรบกวน
- ฝุ่นละออง
- ก๊าซ
- สารเคมี
- สิ่งปนเปื้อน
- อุปกรณ์ป้องกันอันตราย
- สถานที่เก็บอาหาร
- การป้องกันอุบัติเหตุ
- การส่งเสริมสุขภาพ
- สันทนาการ
- อื่นๆ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกำหนด
น้ำดื่ม ตามกฎหมายแรงงาน
กฎหมายแรงงาน กำหนดให้นายจ้างจัดให้น้ำดื่มสะอาดสำหรับดื่มแก่ลูกจ้าง โดยต้องจัดให้มีน้ำดื่มอย่างเพียงพอ ไว้เป็นที่ต่างหาก ดังนี้
จำนวน
- ไม่น้อยกว่า 1 ที่ สำหรับลูกจ้างไม่เกิน 40 คน
- เพิ่มขึ้น 1 ที่ ต่อลูกจ้าง 40 คน
- เศษของ 40 คน ถ้าเกิน 20 คน ให้ถือเป็น 40 คน
คุณภาพ
- ต้องเป็นน้ำสะอาดตามมาตรฐานน้ำบริโภค
- ปราศจากสิ่งปนเปื้อน
- รสชาติดี
- ไม่มีสี
- ไม่มีกลิ่น
สถานที่
- สะดวกต่อการเข้าถึง
- อากาศถ่ายเทสะดวก
- ปลอดภัยจากสัตว์และแมลง
อุปกรณ์
- ภาชนะใส่น้ำดื่ม
- ก๊อกน้ำ
- แก้วน้ำ
- กระติกน้ำ
บทลงโทษ
- นายจ้างที่ฝ่าฝืนกฎหมายแรงงาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ห้องน้ำ ห้องส้วม ตามกฎหมายแรงงาน
กฎหมายแรงงาน กำหนดให้นายจ้างจัดให้มีห้องน้ำและห้องส้วมแยกสำหรับชายและหญิง โดยต้องจัดให้มีจำนวนดังนี้
จำนวน
- ห้องส้วม
- 1 ที่ สำหรับลูกจ้างไม่เกิน 15 คน
- 2 ที่ สำหรับลูกจ้าง 16 - 40 คน
- 3 ที่ สำหรับลูกจ้าง 41 - 80 คน
- เพิ่มขึ้น 1 ที่ ต่อลูกจ้าง 50 คน
- ห้องน้ำ
- 1 ที่ สำหรับลูกจ้างไม่เกิน 40 คน
- 2 ที่ สำหรับลูกจ้าง 41 - 80 คน
- เพิ่มขึ้น 1 ที่ ต่อลูกจ้าง 80 คน
ลักษณะของห้องน้ำ/ห้องส้วม
- พื้นที่เพียงพอ
- ระบายอากาศได้สะดวก
- แสงสว่างเพียงพอ
- ประตูห้องน้ำและห้องส้วมต้องปิดมิดชิด
- พื้นห้องน้ำและห้องส้วมต้องเรียบ ลื่น ไร้รอยต่อ
- มีอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาด
- มีอ่างล้างมือ
- มีสบู่
- มีกระดาษชำระ
บทลงโทษ
- นายจ้างที่ฝ่าฝืนกฎหมายแรงงาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เวชภัณฑ์ ยา และอุปกรณ์สำหรับปฐมพยาบาล ตามกฎหมายแรงงาน
กฎหมายแรงงาน กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีเวชภัณฑ์ ยา และอุปกรณ์สำหรับปฐมพยาบาล ดังนี้
1. เวชภัณฑ์
- สำลี
- ผ้าก๊อซ
- ผ้าพันแผล
- ผ้ายางปลาสเตอร์ปิดแผล
- หลอดหยดยา
- ปรอทวัดไข้
- ถ้วยน้ำ
- แก้วยาน้ำ
- แก้วยาเม็ด
- กรรไกร
- เข็มกลัด
- ที่ป้ายยา
- สายยางรัดห้ามเลือด
- ขี้ผึ้งแก้ปวดบวม
- ทิงเจอร์ไอโอดีนหรือโพวิโดน-ไอโอดีน
- น้ำยาโพวิโดน-ไอโอดีน ชนิดฟอกแผล
- ยาแก้ผดผื่นที่ไม่ได้มาจากการติดเชื้อ
- ยาทาแก้ผดผื่นคัน
- ยารักษาแผลน้ำร้อนลวก
- เหล้าแอมโมเนียหอม
- แอลกอฮอล์เช็ดแผล
2. ยา
- ยาแก้ปวดลดไข้
- ยาแก้แพ้
- ยาแก้ท้องเสีย
- ยาแก้ไอ
- ยาอมแก้เจ็บคอ
- ยาหม่อง
3. อุปกรณ์
- เตียงพยาบาล
- ผ้าห่ม
- หมอน
- ผ้าปูที่นอน
- ถังขยะ
สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 200 คนขึ้นไป มีหน้าที่จัดให้มี
- ห้องพยาบาล
- พยาบาล
- แพทย์
สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไป มีหน้าที่จัดให้มี
- แพทย์ประจำ
- ยานพาหนะสำหรับส่งลูกจ้างไปรับการรักษาพยาบาล
ข้อ 3 นายจ้างอาจทำความตกลงเพื่อส่งลูกจ้างเข้ารับการรักษาพยาบาลกับสถานพยาบาล ที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมงและเป็นสถานพยาบาลที่นายจ้างอาจนำลูกจ้างส่ง เข้ารับการรักษาพยาบาล ได้โดยความสะดวกและรวดเร็ว แทนการจัดให้มีแพทย์ตามข้อ 2 (2) หรือ ข้อ (3) ได้โดยต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย
สวัสดิการแรงงาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
1. สวัสดิการแรงงานตามกฎหมาย หมายถึง สวัสดิการที่กฎหมายแรงงานกำหนดให้สถานประกอบกิจการจัดให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต
2. สวัสดิการแรงงานนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด หมายถึง สวัสดิการที่นายจ้างจัดให้แก่ลูกจ้างเพิ่มเติมจากที่กฎหมายกำหนด เป็นการจูงใจให้ลูกจ้างทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
การให้สวัสดิการตามกฎหมายแรงงานมีความสำคัญอย่างมากในการสร้างสังคมและสถานที่ทำงานที่เป็นมิตรและเชื่อถือได้สำหรับลูกจ้าง โดยสวัสดิการตามกฎหมายแรงงานมักมีหลักการและกฎเกณฑ์ที่กำหนดโดยกฎหมายแรงงานแต่ละประเทศ ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันไปตามประเทศและวัตถุประสงค์ของกฎหมายนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม สวัสดิการตามกฎหมายแรงงานทั่วไปมักมีลักษณะที่คล้ายกันอย่างความช่วยเหลือด้านสุขภาพ ค่าตอบแทนในการทำงาน การพักผ่อน